บันทึกโสภี 3/2012 สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอ

 

นอนอยู่ในโรงแรมเชียงดาวอินน์ เปนโรงแรมเล็ก ๆ ในเมืองทางผ่านอย่างเชียงดาว ที่นี่ไม่มีอะไรมากนอกจากดอยหลวงที่งามจับใจ และขาหมูแสนอร่อย

 

มาหาโลเกชั่นที่นี่ตั้งแต่เดือน พย ตอนนั้นท้องทุ่งที่นี่เหลืองอร่ามด้วยข้าวที่รอเก็บเกี่ยว หากฟ้าเปิดมีแสงแดดส่องในองศาที่เหมาะสม ภาพที่ออกมาคงเปนท้องทุ่งเหลืองทองที่มีดอยหลวงเชียงดาวยืนตะหง่านเปนฉากหลังแลดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป ทั้งหมดนี้งดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่ตอนนี้เปนฤดูการไถหว่าน ท้องทุ่งเลยเต็มไปด้วยโคลนเลน แลข้าวกล้าต้นอ่อน หากจะให้นักแสดงลงไปวิ่งเตลิดอยู่ในทุ่งเพื่อให้ได้ภาพอย่างที่คิด คงจะจมปลักทุลักทุเลชอบกล แลต้นกล้าก็จะถูกเหยียบย่ำหมดโอกาสเติบโต บาปกรรม

 

เมื่อวานเราไปถ่ายหนังกันเปนกองใหญ่นับร้อยชีวิต แต่วันนี้เหลือกันแค่กองเล็ก ๆ ไม่ถึง 20 คน มีแค่ พี่บอย ตากล้อง, จุ๋ม โฟกัส, พี่เหมียว โปรดิวซ์, รถเมล์ ผจก, ป๊อปปี้ ผู้ช่วย, เบนซ์ นักแสดง, ปูน นักแสดง, ต้อง ช่างไฟ, น้าวี รถตู้. แล้วก็มีทีมกล้องของวี มาอีก และกริป กับ นักแสดงที่ตามมาอีกสองคน แล้วหนังเรื่องนี้ก็จะปิดกล้องลงอย่างสมบูรณ์พูนสุข

 

ถ้าติดตามกันมาก็จะพบว่าเราถ่ายกันข้ามปี ด้วยวิบากกรรมอะไรก็ไม่รู้ ตอนถ่ายช่วงนี้ฝนก็ตกทุกวันทุกคืน จนทำลายฉากสำคัญของเราไป แถมจะถ่ายกันต่อ น้ำก็ท่วมจนทุกอย่างพังพินาศไปหมดสิ้น เราต้องรอกันข้ามปีกว่าจะมั่นใจมาถ่ายกันตอนนี้ ระหว่างที่รอก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขียนบท แก้บทจากที่ถ่ายไปทั้งหมดและก็มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาถ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนใหญ่ที่เพิ่มมาก็มาถ่ายที่เชียงดาวเนี่ยแหละ เปนเรื่องของอะไรยังบอกไม่ได้ต้องตามไปดูในหนังกันเองเน่อ

 

เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเปนเพราะวิบากกรรม เปนเพราะชง เปนเพราะชะตากรรมเฮงซวย แต่พอมาวันนี้ หลังจากที่เริ่มถ่ายทำกันใหม่ เราพบว่าโลเกชั่นใหม่ที่เราได้ สวยกว่าอันเก่าที่พังไป แสงสีและบรรยากาศ ณ เวลานี้ ก็สวย และโชคดีที่เราไม่ตัดสินใจประหยัดงบเซทหลอกกันที่ กทม เพราะตอนนี้ได้ยินมาว่าฝนตกกระหน่ำที่นั่นทุกวัน

 

สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว มันดีเสมอ หรือมันไม่ดีในเวลานี้ มันก็คงจะพาเราไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ที่อาจจะยังมาไม่ถึง

 

และฉันก็หวังว่าพรุ่งนี้มันจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้างล่ะ

 

ราตรีสวัสดิ์ ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาก

 

แมวโพง หมั่นเพียร

แค่หันหลังไป ใบไม้ก็ร่วงหล่น

รถวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วเฉลี่ย 130 กม./ชม.

 คนนั่งข้าง ๆ หลับสนิทเหมือนกับอยู่ที่บ้านของเขาเอง แม้ว่าเสียงเพลงของบอดี้สแลมดังกึกก้องช่วยไม่ให้ข้าพเจ้าหลับคาพวงมาลัย แต่อาจจะเปนเพราะถนนอันมีสภาพดีมากบนเส้นทางเพชรเกษมช่วงพระราม2 – หัวหิน ทำให้รถวิ่งนิ่มราวกับเหาะอยู่บนอากาศ

ข้าพเจ้ากลับมาจากการพักผ่อน ใช่…วันธรรมดาที่ใคร ๆ เขาก็ทำงานกันแต่ข้อดีของการทำงานอิสระก็คืออยากจะหยุดให้ตัวเองในวันไหน หรือเมื่อไหร่ก็ได้ เต็มที่ แม้สองวันที่ผ่านมาทั้งผู้ช่วยแลใครต่อใครต่างโทรหาอย่างอุตลุตเพราะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการงานก็ตาม ข้าพเจ้าจึงใช้เวลาเที่ยวไป พักไป คุยงานไป ก็เกรงใจคนที่เขาไปด้วยอยู่ไม่ใช่น้อยแต่ดูเหมือนเขาก็ชาชินกับสิ่งนี้ไปแล้ว

จะว่าข้าพเจ้าเปนพนักงานอิสระก็ไม่ได้เต็มปากอีกต่อไปเพราะที่จริงเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ร่วมกับหุ้นส่วน เปิดบริษัทขึ้นมา หะแรก ก็เพื่อจะเปนหลักเปนฐานในการดูแล รับงาน และผลิตผลงานเพลงของวงน้องสิงห์ แต่จะทำแต่อย่างเดียวดูไปดูมาก็หาจะกำไรไม่ ฉะนั้่นบริษัทจึง ต้องขยับขยายไปในทางอื่น ซึ่งก็คงต้องรับจ้างผลิตภาพยนตร์ โฆษณาหรือโปรดัคชั่นอื่น ๆ รวมไปดึงการพัฒนาเนื้อหาของสื่อประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน บทหนัง บทละคร เพลง ดนตรีประกอบ รายการ เกมส์ต่าง ๆ เท่าที่จะมีปัญญาคิดออก แต่ในช่วงนี้ก็ต้องเหนื่อยหน่อยในการก่อร่าง สร้างตัวบริษัทน้อย ๆ ให้เปนรูปเปนร่าง

จะใช้เวลานานเท่าไหร่ หรือต้องลงทุนลงแรงไปอย่างไร แล้วจะได้ผลอะไรกลับมา ก็ไม่รู้ได้ แต่นี่ก็เปนสิ่งท้าทายในชีวิตอีกสเต็ปหนึ่ง มีเวลาก็จะมาเขียนบันทึกลงในนี้ให้เปนหลักกิโลให้มองย้อนกลับไป

คนข้าง ๆ ยังหลับสนิท ข้าพเจ้ารู้สึกดีที่เขาหลับเพราะถ้ามีคนหลับในขณะที่เราขับรถแปลว่าเขารู้สึกปลอดภัย ซึ่งนั้นก็ทำให้รู้ว่า โลกนี้ยังมีคนวางใจฝากชีวิตไว้กับเราผู้กำลังนำพาเขาไปสู่จุดหมายด้วยความเร็วที่ไม่น้อยเลย

….

เมื่อส่งเขาถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็ขับรถกลับบ้านคนเดียว บนทางด่วนบรมราชนนี ข้าพเจ้ามองเห็นเมืองในระนาบกว้าง แสงสีอ่อน ๆ ของหน้าหนาวงที่มาเร็วกว่าทุกปีย้อมเมืองให้ดูอบอุ่น มันไม่เหมือนเมืองหลวงของประเทศที่น้ำกำลังท่วมไปครึ่งค่อนประเทศ ไม่เหมือนเมืองที่เคยมีคนถูกฆ่าตายอยู่ ใจกลางเมืองอย่างโหดเหี้ยม ไม่เหมือนเมืองที่กำลังทรุดโทรมลงไปทุกขณะ ข้าพเจ้าไม่ควรคิดดังไปกว่านี้เพราะผู้คนในเมืองนี้กำลังตื่นเต้นกับการมา เยือนของฤดูหนาว แลเทศกาลงานรื่นเริงที่กำลังจะมาในปลายปี ใครก็อยากลืมเรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เช่นกันแต่โชคร้ายที่เปนคนลืมยาก

รถแล่นลงจากทางด่วนเพื่อจะขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ช่องทางจราจรถูกเบียดเข้ามาจากฝั่งขาออก ทำให้รถฝั่งขาเขาติดอยู่บนสะพานพอสมควร ข้าพเจ้ามองดูน้ำเจ้าพระยาที่กำลังเอ่อล้น แต่คนกรุงคงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เดือดร้อนจากอุทกภัยแบบคนจังหวัดอื่น ๆ เขาเจอกัน หันไปด้านขวามองดูโรงพยาบาลศิริราช ตึกใหม่ ๆ ใหญ่ ๆ ผุดขึ้นมากมาย บริเวณที่เคยไปถ่ายหนังรักแห่งสยาม ตอนโต้งมิวเด็กเล่นซ่อนของกัน ตอนนีก็กลายเปนตึกใหญ่โตไปแล้ว แต่โรงพยาบาลศิริราชก็มีเรื่องราวที่ยากจะลืมของข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกครั้งที่ผ่านไปที่นั่นข้าพเจ้ามักจะนึกถึง "เต้" เต้เปนเด็กสวนกุหลาบ เรารู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเคว้งคว้างจากการทำหนังเรื่อง 13 เกมสยองแลยังไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนนั้นดำริห์จะทำสารคดีเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นแลการเอาชีวิตรอด มีหลายคนที่วางตัวเองไว้ไม่ว่าจะเปนเด็กหนุ่มในพื้นที่จังหวัดยะลาที่อยู่กับความหวาดระแวงระเบิดทุกวัน เด็กหญิงที่ถูกข่มขืนจนตั้งท้องแลต้องทำแท้งเพื่อเอาเด็กออก และเต้คือเด็กหนุ่มที่ต้องต่อสู้กับ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ข้าพเจ้ารู้จักกับเต้ผ่านเพื่อนสนิทแลก็ได้เข้าไปคุยกับเต้เพื่อถามข้อมูลว่าเปนยังไงกับการอยู่กับโรคร้ายนี้

จากคุยกันที่โรงเรียนก็เริ่มต้องไปคุยกันที่โรงพยาบาล เพราะเต้ต้องเข้ารับการคีโมแต่ทุกครั้งที่ไปหาก็ไม่พบว่าเต้จะมีอาการแพ้คีโม หรือทุรนทุรายแต่อย่างใด จากที่เคยพูดถึงเรื่องโรคภัยของเขา ก็กลายเปนคุยกันเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ จนทำให้เรารู้จักกันสนิทกันมากขึ้น มากกว่าคนทำสารคดีกับเด็กคนหนึ่ง หลายครั้งที่เต้แอบเปลี่ยนชุดนอกแล้วออกไปหาอะไรกินนอกโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งออกมาดูหนัง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรกับเต้ไปบ้างแต่มีคำนึงที่ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจเต้เคยบอกว่า "อยากจะทำอะไรก็รีบทำนะ" แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยากให้เต้ใส่ใจกับคำนี้มากเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าชีวิตนี้แสนนั้นนัก

ไม่นาน ก็มีโปรเจคหนังใหม่ที่จะเริ่มทำในตอนนั้น โปรเจคสารคดีเรื่องนี้ก็พับเอาไว้ ข้าพเจ้าก็ไปยุ่งกับงานต่อ อาการของเต้ก็ดีขึ้น จนกระทั่งเขาสอบเข้ามหาลัย แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้น แต่อาการของเต้ดูดีขึ้นมาก เหมือนจะหายดีแล้ว ด้วยสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเต้และความวุ่นวายในชีวิตของเราทำให้เราห่างกันไปโดยปริยาย วันดีคืนดีก็มีโทรหากันบ้าง ตอนหนังรักแห่งสยามเข้าและดังใหม่ ๆ เต้ก็โทรมาแสดงความยินดีด้วยและปรารภว่าอยากได้ Boxet เก็บไว้ เต้จำได้ว่าเรืื่องนี้ข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังตอนที่เต้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ก็แปลกใจเหมือนกันที่เต้จำอะไรที่เราเล่าได้ด้วย และสุดท้ายที่เจอกันคือวันที่พากันไปดูหนังเรื่อง Charlie and the chocolate factory ที่ sf มาบุญครองแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ได้แต่คุยกัน

ข้าพเจ้ากดโทรศัพท์ไปหาเต้ เสียงรอสายดังขึ้น ข้าพเจ้าแอบดีใจว่าเขายังไม่เปนอะไร แต่พอมีคนรับสายเปนเสียงที่ไม่คุ้นแลถามว่า "ใครอะครับ" ข้าพเจ้าเริ่มใจเสียแต่ก็หวังแค่ว่าคงมีใครสักคนรับโทรศัพท์ของเขา

 "นี่พี่แมวโพงนะครับ นั่นใครอะ"

"นี่น้องพี่เต้นะครับ" เสียงปลายสายดูนิ่งเฉย

 "แล้วพี่เต้ไปไหนอะครับ"

"พี่เต้ เสียแล้วครับ" ปลายสายนิ่งก่อนจะพูดออกมา ข้าพเจ้าก็นิ่งเช่นกัน

"…เมื่อไหร่น่ะครับ" ข้าพเจ้าพยายามคุมความตกใจเอาไว้

"วันที่ ๕ ธันวา ที่ผ่านมาน่ะครับ" ข้าพเจ้าพยายามคิดว่าเปนเรื่องอำเล่น เพราะเสียงเต้กับน้องชายก็ไม่ได้ต่างกันมาก แลน้ำเสียงที่ปลายสายนั้นไม่มีวี่แววว่าจะล้อเล่นเลยสักนิด และข้าพเจ้ารู้ดีว่าวันตายของคนที่รัก เราจะจำได้ขึ้นใจ กับน้องชายของเต้ก็คงเช่นกัน ข้าพเจ้าถามอะไรไปไม่กี่คำ ก็วางหูไป แล้วก็โทรไปหาอีกที หวังว่าจะเปนเรื่องอำกันขำ ๆ แต่ก็น้องเต้ก็รับเหมือนเดิมข้าพเจ้าก็ถามเขาไปอีกเล็กน้อยว่าลอยอังคารหรือเก็บกระดูก ก็ได้คำตอบว่าลอยอังคารไปแล้ว ทีนี้ก็คงจะทำได้แค่สวดภาวนาไปให้เต้ผู้ล่วงลับ

วางหูไปทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดนิ่งไป นี่เต้เสียไปเมื่อวันที่ 5 ธค ปีก่อน แปลว่าเราไม่ได้โทรไปหาเขาเกือบปีนึงเต็ม ๆ นั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านไปในระยะเวลานั้น ข้าพเข้าได้กระทำสิ่งต่าง ๆ ไปมากมายจนเวลาเหมือนผ่านไปสั้น ๆ แต่เอาเข้าจริงเราได้พลาดอะไรหลายสิ่งในชีวิตเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกับเราเดินทางไป เจอต้นไม้ที่ไหนสวย ๆ ร่มเงาดี ๆ ก็หยุดพัก บางทีก็คิดว่ามันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อย้อนกลับมา ต้นไม้ต้นเดิมก็ไม่เหลือแล้ว บางทีคิดว่าหลงทาง บางทีมันอาจจะย้ายที่ แต่ความจริง บางทีชีวิตอาจปลิดปลิวไปเร็วกว่าที่คาดคิด "อยากจะทำอะไรก็รีบทำ" คำพูดของเต้ดังก้องไปมาในหัว

บางคนกำลังวิ่งหาความฝัน บางคนวิ่งหาความมั่งคั่ง บางคนวิ่งหาความรัก นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต่างวิ่งหากันในชีวิต เราต่างอยากทำในสิ่งที่เราต้องการกันทั้งนั้นแหละเพราะชีวิตนี้มีกันชีวิตเดียว ชาติหน้าฉันใดก็ไม่รู้ว่าจะจดจำตัวตนกันได้หรือเปล่า ดังนั้นการจากลากันโดยไม่ได้บอกลาคือสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดที่ไม่สามารถเอาอะไรมาทดแทนได้ แต่ในเมื่อย้อนกลับไปทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ "อย่าลืมกัน"

แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ อะไรที่อยากจะทำแล้วไม่ได้ทำกับเต้ ก็คงจะเปนการบอกว่าดีใจที่ครั้งหนึ่งเราได้เจอกัน และครั้งหนึ่งพี่เคยรักเต้ และพี่ก็ยินดีกับความรู้สึกดีที่เต้มีให้กับพี่ ขอบคุณที่คิดถึงพี่ในบางครั้ง พี่จะคิดถึงเต้ตลอดไปนะ ขอให้เดินทางต่อไปไว้เจอกันใหม่ชีวิตหน้า เพราะเจอกันนิดเดียวในชาตินี้ พี่ว่าเรายังสนุกกันไม่พอ

 ขอให้โชคดีนะ รักและคิดถึงตลอดไป

 แมวโพง ของเต้

อนาคตกาล

เมื่อคืนมีลมพัดโชยอย่างที่บ้านข้าพเจ้าเรียกว่า “สายลมจอย” ในยามดึก ระคนกับเสียงอึ่งอ่าง กบเขียดที่ร้องกันระงมเหมือนว่ามันจะได้กลิ่นฝนแต่ไกล หากแต่ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้มีฝนตกลงมาแต่อย่างใด หนำซ้ำแล้ว ณ เวลานี้อากาศก็ร้อนเหมือนเมื่อวาน และวันก่อน แลวานซืน

ตามปกติอากาศร้อนอย่างพีคกลางเดือนเมษาอย่างนี้จะมีฝนตกลงมาบ้างตามธรรมชาติที่เขาเรียกว่า ฝนหัวสงกรานต์ แต่ปีนี้ไม่มี มีแต่พายุฤดูร้อนพัดเอาบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง วัดแลวิหารในพื้นที่โล่งพังทลายไปหลายหลัง หากแต่ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็จะถูกปลูกสร้างใหม่ได้ ด้วยสำนึกแห่งการเอาตัวรอดและไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม การหวนอาลัยต่อสิ่งที่เสียหายย่อมไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตแต่อย่างใด เพราะเวลาย่อมเดินไปข้างหน้าไม่มีย้อนกลับ

ตี้ น้องรัก

หลังจากที่พี่ตอบจดหมายเธอว์ไปแล้ว มันกลายเปนบทความที่คนส่งต่อกันไปมากมายและก่อให้เกิดการวิพากษ์ถกเถียงกันมากมาย ลามจากวอลล์สู่วอลล์ บอร์ดสู่บอร์ด และกลายเปนฟอร์เวิร์ดเมล์ไปแล้ว ทีนี้ ฟอร์เวิร์ดเมล์เปนอะไรที่พี่หลอนมากเพราะมันจะคงอยู่ในระบบตราบจนกาลปาวสาน สเปศของพี่นั้นไซร้ต้องกลายเปนบอร์ดสาธารณะที่คนต้องเข้ามาถกเถียงดราม่าการเมืองกันอยู่ไม่จบสิ้นเปนแน่แท้ กระนั้นพี่เลยทำการปิดคอมเม้นไปแล้ว เพื่อความสงบสุขในพื้นที่ส่วนตัว แลจักได้เขียนถึงประเด็นอื่น ๆ ต่อไป

แต่ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นอื่นพี่คงต้องเขียนจดหมายปิดผนึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเธอว์กับพี่ต่างได้เรียนรู้ด้วยกันจากการณ์นี้ หลังจากการปะทะกันไปเมื่อควันปืนจางลง ตอนนี้ก็เริ่มเห็นชัดว่ามีข้อเท็จจริงต่าง ๆ มากมายว่าความรุนแรงเปนฝีมือของใคร ข้อนี้คงมีคนถกเถียงกันอยู่ และคงยากที่คนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่างเราจะไปตัดสินชี้ถูกผิดอะไรจึงต้องอาศัยหลักฐานจากที่เกิดเหตุให้ผู้รู้ทั้งฝ่ายรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลฝ่ายประชาชน ตัดสินกันเอง ทัศนะแบบนี้ก็เหมือนกับที่พี่พูดไปเรื่องความทุจริตของคุณทักษิณในความหมายที่พี่บอกว่าในเมื่อไม่รู้ชัดแจ้ง จึงขอข้ามประเด็นไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่เคารพต่อการตัดสินของศาล หรือบอกว่าคุณทักษิณบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่พี่น้อมรับว่าปัญญาน้อยนิดเกี่ยวกับกระบวนการภาษีแลยุติธรรมของพี่ไม่เพียงพอต่อการวิพากษ์จึงขอเว้นวิจารณ์ เธอว์เคยได้ยินเรื่อง โยน ออฟ อาร์ค ไหมที่เขาเคยตัดสินว่านางเปนแม่มด ปรากฏผ่านไปเปนร้อย ๆ ปีเขาพิสูจน์ได้ว่ะว่านางไม่ใช่แม่มด รัฐบาลฝรั่งเศสเลยต้องออกประกาศเปลี่ยนผลการตัดสินใหม่หรือขออภัยอะไรซักอย่างจำไม่ได้ แต่มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ว่ะ นางก็โดนเผาไปแล้ว ประชาชนในตอนนั้นก็จงเกลียดจงชังนางไปแล้ว และก็คงจะตายตกไปแล้วตามกัน เรื่องแบบนี้มีมาทุกยุคทุกสมัยและทุกรัฐ ในประวัติศาสตร์การแก่งแย่งอำนาจทางการเมือง

เธอว์ว่าไหม ไม่ว่าเราจะวิพากษ์สิ่งใดอันเปนการกระทำของรัฐ ณ เวลานี้ เราจักถูกตราประทับของคุณทักษิณแปะอยู่ซ้อนทับใบหน้าอันงดงามของเราอยู่ร่ำไป เราก็ไม่ได้อยากหน้าเหลี่ยม เราแค่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐและสนับสนุนประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามกติกาโดยไม่มีอำนาจอื่นใดมาแทรกแซง และอีกหลายประเด็นที่พูดไปแล้วในจดหมายฉบับก่อน กระแสร์ตอบกลับจากหลายส่วนทำให้พี่พบอาการหนึ่งในสังคมนั่นคืออาการ “ผีทักษิณหลอก” กล่าวคือไม่ว่าจะพูดประเด็นไหนก็จะโยงเข้าเรื่องทักษิณได้ตลอดเวลา บางทีก็พยายามอธิบายราวกับเราพึ่งได้ยินชื่อของเขามาเมื่อวานนี้ ซึ่งอันที่จริงก็รู้แต่เราไม่อยากพูดถึงแล้วมันเปนเรื่องเก่ามีคนเถียงกันได้ไม่รู้จักจบสิ้น ปล่อยให้เขาเถียงกันไป เรามองข้ามทักษิณไปแล้ว ถ้าเราเชื่อว่ากระบวนการตรวจสอบที่มีอยู่มันเข้มแข็งพอ เราจะกลัวการกลับมาของเขาทำไม บางคนบอกว่ากลัวชาวบ้านโดนทักษิณหลอก แล้วคิดยังไงว่าชาวบ้านเขาจะโดนหลอก หืมน์…

ผีทักษิณน่ากลัวมากสำหรับคนบางกลุ่ม ไม่ผิดที่เขาจะมองเห็นปรากฏการณ์อะไรต่อมิอะไรในประเทศนี้แล้วโยงเข้าหาทักษิณได้ทั้งหมด แล้วทางออกคืออะไรความแตกแยกในประเทศนี้จะจบลงด้วยให้ทักษิณตายไป อย่างที่มีกลุ่มคนตั้งกลุ่มอยู่ในเฟศบุคงั้นหรือ มันจะเปนไปได้เหรอ เคยดูหนังเรื่อง Apocalypto โดยเมล กิ๊บสัน กันไหม ที่เขาเปิด ๆ กันตามร้านขายทีวี หนังว่าด้วยการจับเอาคนอีกเผ่าหนึ่งมาบูชายัญ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลความกันดารในอาณาจักรมายาจะได้หมดไป แต่ตอนจบ สเปนก็บุกเข้ามาซะงั้น จริงอยู่ สเปนไ่ม่มาบุกเรา ไม่มีพม่า เขมร รามัญที่ไหนจะมาบุกเราทั้งนั้นในตอนนี้ แต่การไล่จับคนมาบูชายัญ เสียบประจานในกรุ๊ปต่าง ๆ ตามเฟศบุคมันเปน พฤติกรรมคล้าย ๆ กันสิ่งนี้แหละ เปลี่ยนจากเอาคนอีกเผ่ามาทาตัวสีฟ้า ๆ กลายเปนเอาคนอีกเผ่า มาใส่หน้ากากทักกี้ แล้วก็เสียบประจาณ อ่อ… จริงแล้วในฝั่งไม่เอาเจ้าก็มีฮาร์ดคอร์พอกัน พี่เห็นแล้วก็สยองพอกัน

พูดไปก็จะยาว ได้แต่อุทานในใจว่า “บ้าไปแล้ว นี่มันอะไรกัน” คนในชาติไม่ได้มีความคิดแค่สองอย่าง ความคิดเห็นมันมีหลากหลายมาก มีท่านหนึ่งแสดงความเห็นไว้ในสเปศพี่ไว้น่าสนใจว่า ท่านเปนคนเสื้อแดงที่ไม่เอาทักษิณ และเปนคนเสื้อเหลืองที่ไม่เอาอำมาตย์ พี่เชื่อว่ายังมีผู้คนมากมายที่เปนเหมือนกับสุภาพบุรุษท่านนั้นนิยามตนเอาไว้ พี่ก็เห็นตามนั้น แต่พี่เติมว่าพี่ก็ไม่ได้อยากเห็นใครตาย ไม่ว่าฝั่งไหนหรือสีไหน เพราะ อย่างไรก็ต้องตายกันอยู่แล้ว แต่ตายในการเมือง มันก็ไม่ได้ทำให้การเมืองดีขึ้น จริง ๆ นะเธอว์ แล้วการแช่งให้คนตาย มันบาปกว่าฆ่าเวลานะเธอว์นะ

ทีนี้สิ่งที่พี่อยากจะบอกเธอว์เพื่อปิดประเด็นนั่นก็คือเราจะทำยังไงกันต่อไป ในฐานะเปนวัยรุ่นเปนเยาวชน ตอนนี้อะไรต่างๆ นานามันวุ่นวายสับสนปนเปนกันไปหมด ขอให้เรามีสติแยกแยะประเด็นออกจากกัน ปัญหาบ้านเมืองตอนนี้มันซับซ้อนพัวพันกว่าขนเพชรที่ไม่ได้แต่งเล็ม ยิ่งปล่อยให้ผีทักษิณมาหลอกหลอน ยิ่งมองไม่เห็นอะไรเลยก็จะมันแต่มีทักษิณ ๆ ๆ ๆ ๆ บดบังตาไม่เห็นปัญหาอื่นที่กำลังกำเริบเสิบสาน ถ้ายิ่งไปกันใหญ่โตหมอผี เทวดาที่ไหนก็ไม่สามารถเสกเมืองไทยให้มีความสุขสงบได้หรอก

แต่ในตอนนี้เรามองเห็นปัญหาเรื่องทัศนคติต่อคนคิดต่าง เราแค่สะกิดเพื่อนให้รู้ว่าคนที่คิดต่างจากเราเขาไม่ได้โง่ ไม่ได้เปนวัวเปนควาย คนเสื้อไหนสีไหนมีดีมีเลวปะปนกันไปทั้งหมด แค่อย่าตัดสินกันที่ความเห็นทางการเมืองแค่นั้นเอง เรานั่งอยู่บ้านเล่นเน็ตก็เล่นไป แต่หาความรู้ให้กระจ่างว่าทำไมถึงเปนเช่นนั้นทำไมถึงเปนเช่นนี้ ประวัติศาสตร์มีให้ศึกษาทั้งของประเทศเราและประเทศอื่น ที่ฆ่ากันตายล้างเผ่าพันธุ์ด้วยความเกลียดชังทางการเมืองก็มีให้เห็น มันอาจจะไกลตัวและไม่น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ แต่ใครจะรู้…

ณ เวลานี้ปัญหาทางการเมืองเปนสิ่งที่ใหญ่โตเกินกว่าที่เราจะเข้าไปแก้ไขอะไรได้ แต่พึงรฤกไว้ว่า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ผู้ใหญ่ที่เปนตัวแปรหลายท่าน ณ เวลานี้ก็เลยแซยิดกันไปมาก ในช่วงเวลาที่เราจะเติบโตไปด้วยกันท่านเหล่านั้นก็จะล้มหายตายจากไปตามสัจธรรมของโลกอยู่แล้ว แต่เราน่ะสิจะเปนคนที่อยู่ในประเทศนี้ต่อไปอีกนาน เราเห็นกันแล้วใช่ไหมว่าเราเคยมีบาดแผลกันด้วยเรื่องอะไร เราบาดหมางกันเพราะอะไร วันข้างหน้าสิ่งเหล่านี้คือบทเรียนให้เราไม่ไปซ้ำรอยนั้นอีก ถ้าเรารู้จักเจ็บแล้วจำ

ใครที่เคยเห็นด้วยกันในเรื่องความเท่าเทียม เสรีภาพ และภารดรภาพ ขอให้ยึดมั่นมันเอาไว้ อย่าให้อะไรมาเปลี่ยนความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ของเรา วันหนึ่งที่เราเติบโตไปทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสังคม อย่าลืมว่ายังมีคนอื่นที่ทำงานในส่วนต่างๆ ของสังคมเช่นเดียวกับเรา ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะเปนเกษตกร คนทำปศุสัตว์ แม่บ้าน ยาม คนขับรถคนที่กำลังกระเสือกกระสนเพื่อที่จะลืมตาอ้าปาก เขาก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เขามีความคิดสติปัญญา ที่เราควรรับฟังในฐานะเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน

ขอปิดผนึกประเด็นนี้ไปพร้อมกับเทศกาลสงกรานต์ ที่ยังดีใจที่เห็นพี่น้องชาวไทยยิ้มแย้มใส่กันได้อีกครั้ง ก่อนที่แนวรบทางการเมืองจะเริ่มตีกันต่อไป เราทั้งหลายก็จะเริ่มกลับไปทำงานทำการตามปกติ ที่ปิดเทอมก็ขอให้เที่ยวให้สนุกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตเอาไว้เปนต้นทุนที่หาไม่ได้ในห้องเรียนพิเศษ ตัวพี่เองมีหน้าที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้คนก็จะกลับไปทำงานอีกครั้ง แม้จะเสียต้นทุนทางสังคมไปบ้างกับการแสดงความเห็นทางการเมือง แต่พี่ก็ไม่เสียดายเพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะสื่อความเห็นตรงกันแต่ยังเรียบเรียงคำพูดไม่ออก และมันอาจจะเปลี่ยนอะไรได้ไม่มากนักแต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยมันได้เปนกระแสร์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วจากนี้ก็ช่วยกันรดน้ำพรวนดินให้มันผลิบานต่อไป

อีกนานที่จะเขียนถึงการเมืองอีก มีจดหมายอื่นๆ เกี่ยวกับปัญหาชีวิต การศึกษา สุขภาพ ความรู้ทั่วไป ซึ่งจะทยอยตอบในอีกไม่ช้า การเมืองเปนส่วนหนึ่งของชีวิต เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ กระนั้นอย่าให้มันมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างจนเกินไปนัก และถ้ามีปัญหาใด สามารถปฤกษากันได้เสมอ ขอเว้นเรื่องการเมืองแล้วนะ ไม่ไหวจริง > < แต่เอ๊ะ…นี่พี่ตอบจดหมายตี้อยู่ใช่ไหม

พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

แมวโพง แสนดี สี…

 

โยนิโสมนสิการ

 

จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป

หากแต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแลความเศร้าที่ต้องมีผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์ จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมาในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิตออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป

http://nanoguy.exteen.com/20100412/entry

จดหมายถึงน้อง

ตี้น้องรัก

จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง

การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ (ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่าการออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอ คนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน

พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยอง ก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารในคืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชนในสงครามยาบ้าอันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเอง อนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้องเสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกับบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมไ่ด้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง

เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ในเมืองก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจ อาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควายไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชคสินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิ บุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกริดรอนมาหลายทศวรรษแล้ว

มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ “ปาริณ” ถามได้น่าสนใจว่า “ใครคือชนชั้นกลาง” เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความมั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิง ชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า “ข่าววงใน” สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแสร์ โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงใจการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้ากัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง…

ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยุ่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า “ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้” ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา

นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าเลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจนกว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก “กาลามสูตร” เข้าใจว่าเปน “กามสูตร” หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด “โยนิโสมนสิการ” ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด

แล้วที่เม้าชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาดซึ่งวิจารณญานโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกันนะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไลซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า

เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตคนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเรา จะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้

ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่ากาชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้งใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปนเงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้

ชนชั้นสูงรู้ดีว่าตัวเองมีอะไรอยู่ในมือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำต้อยแค่ไหนในระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภารดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว

ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของคนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ

มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกันคือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้า เราเข้าใจว่าเราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยกจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ

เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย “ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ…” แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า

พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจจะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ๊ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชนชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน “ไพร่” มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน

วิงวอนให้ทุกคนได้มี “โยนิโสมนสิการ” ในเร็ววัน

แมวโพง สีสวยดี

คนขี้บ่น คนขี้แตก

จริง ๆแล้วคิดว่าจะมาอัพเดือนละครั้ง

มีหลายทีเหมือนกันที่พยายามจะเขียนอะไรซักอย่างแต่ไป ๆ มา ๆ อ่านทวนแล้วก็เหมือนกับบ่นอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยไม่เอาลง และก็มีหลายครั้งที่คุยกับเพื่อนจะจับผิดตัวเองได้ว่า นี่ส่วนใหญ่จะเปนการบ่นอะไรให้เขาฟังเปนส่วนมาก เลยเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "นี่ข้าพเจ้าแก่แล้วฤๅ"

คนประเภทไหน ที่มักจะขี้บ่น… คนแก่…หรือคนที่ไม่มีความสุขในชีวิต

แก่…จะว่าไปข้าพเจ้าก็จัดอยู่ในหมวดวัยฉกรรจ์ ในวัยยี่สิบปลายนี้ก็เปนผู้ใหญ่เต็มที่ เรี่ยวแรงกำลังวังชาก็สมบูรณ์ อาจจะมีโรคาพยาธิมาเบียดเบียฬบ้างก็ตามที หากแต่ก็เปนตามวาระกรรม ยังไม่ถึงขั้นแผลงฤทธิ์ให้ล้มหมอนนอนเสื่อ หรือข้าพเจ้าไม่มีความสุขในชีวิต… ก็หาไม่ ช่วงนี้ข้าพเจ้ายังประกอบอาชีพอย่างมีความสุข การงานแม้ไม่มีอะไรโดดเด่นออกมา ณ เวลานี้แต่ก็เก็บเล็กผสมน้อยเริ่มก่อเปนรูป

เปนร่างแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหน่อยให้มันถึงวาระอันควรที่จะผลิดอกออกผล ให้ชื่นชม รวม ๆ แล้วข้าพเจ้ามีความสุขดี แต่ก็หาเรื่องบ่นไปงั้นเองมั้ง ไม่ให้เหงาปาก เพราะเขาว่ากันว่าคนที่บ่น ๆ หรือได้แสดงออกทางอารมณ์อยู่บ่อย ๆ จะเปนคนไม่เครียด เห็นจะจริงเพราะชีวิตจริงตลกในจอทีวีเมื่อได้สัมผัสตัวจริงเปนเปน ก็ดูเปนคนเครียดกันทั้งนั้น มีแต่เราเห็นบ่น ๆ เม้า ๆ แต่ก็กินอิ่มนอนหลับ ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เอามาก่ายหน้าผากนัก

นี่ก็เข้าสู่หน้าร้อนแล้ว อยู่บนคอนโดลมพัดตึง ๆ ทั้งวันทั้งคืน เปนลมฤดูร้อนที่รู้เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ที่มาตามลมฤดูร้อนคือเสียงเด็ก เนื่องด้วยปิดเทอม ห้องเราอยู่ริมสุดติดกับลานกว้างที่ตะก่อนเคยเปนลานจอดรถบาแรมยู แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีเงินเช่าต่อหรือจอดไกลเกินไปก็ไม่รู้เลยกลายเปนลานว่างเฉย ๆ ทีนี้ลานว่างนี่ล่ะ สวรรค์ของเด็ก ๆ เลยทีเดียว และด้วยปิดเทอมตกบ่าย ๆ ก็จะได้ยินเสียงเจี๊ยว ไปถึงเย็น ชะโงกหน้าดูก็เห็นเปนพวกหน้าเดิม ๆ มาทุกวัน เจี๊ยวทุกวัน แต่ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เรามากนัก

นึกถึงปิดเทอมหน้าร้อนตอนเด็ก ๆ เปนความสุขนักกับการปั่นจักรยานเล่น ปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา ว่ายน้ำคลอง หากิจกรรมเล่นกันได้ไม่รู้เบื่อ ข้าพเจ้าจำแสงตะวันแรงกล้า มองไปทางไหนก็มีแต่สีเหลือง ส้ม ของพุ่มไม้เตี้ยกับหญ้าคาที่แห้งเหี่ยวจากฤดูแล้งที่ผ่านไป แต่ต้นไม้ใหญ่เริ่มระบัดใบสีเขียวอ่อน ลมแล้ง ดอกจาน ดอกงิ้ว เริ่มผลิตูม รอเวลาที่ฝนชะช่อมะม่วงจะมาถึง แล้วดอกไม้สีสด ๆ เหล่านั้นก็จะเบ่งบาน รอให้คนเด็ดไปประดับประดาเทศกาลสงกรานต์ ข้าพเจ้าจำกลิ่นของหน้าร้อนได้ดี มันคือกลิ่นของใบไม้ ต้นพืชที่ได้รับความชื้นจากผืนแผ่นดิน ออกมา เหมือนที่เขาเรียกกันว่า ไอดินกลิ่นหญ้านั่นแหละ และกลิ่นฝนที่ตั้งเค้ามาจากที่แสนไกล อาจจะไกลหลายร้อยกิโลเมตร แต่เราก็รู้ได้ว่าอีกไม่นานฝนก็จะตก

เด็ก ๆ ข้างล่างคอนโดนี่อีกสิบปีต่อไปเขาก็คงจะจำได้ว่าเคยวิ่งเล่นบนพื้นยางมะตอย ที่มีขี้หมากองอยู่เปนหย่อม ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านด้วยถนนคอนกรีตที่สร้างจากงบประมาณที่ ส.ก. XXX XXXX เปนคนไปขอมา

แล้วเด็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ข้างล่างคอนโดนี่ล่ะ ที่กำลังไปเรียนพิเศษ เช้าสายบ่ายเย็น โตขึ้นเขาจะมีความทรงจำเกี่ยวกับปิดเทอมว่าอย่างไรหนอ

ธรรมชาติหล่อหลอมให้คนละเอียดอ่อนต่อสิ่งรอบข้าง เพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ปัจจุบันรอบข้าง มีแต่คนละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ไม่ละเอียดอ่อนกับอะไรรอบข้างเลย ยกตัวอย่าง คนบางคนเซนสิทีพมาก ต้องแสดงให้ใคร ๆ รู้ว่าตนนั้นเซนสิทีพ อ่อนบาง อ่อนไหว แม้คำพูดเล็กน้อยอาจจะทำร้ายจิตใจของตนให้พินาศพังพินธุ์ ได้ แต่คำพูดหรือกิริยาที่ปฏิบัติต่อคนอื่นนั้น จัดได้ว่าทรามอยู่ อันนี้เจอบ่อยแต่มิได้คบหา

บ่นอีกแล้ว เปลี่ยนเรื่อง

ช่วงนี้อยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว กิน นอน คนเดียวล้วน ๆ มีเวลาก็ออกไปหาคนที่อยากเจอบ้างเพื่อนเก่า คนใกล้ หรือบางทีก็คนใหม่ ๆ ที่พึ่งเปิดรับเข้ามา การได้เจอคนใหม่ ๆ ก็ดีบ้างอะไรบ้าง กอปรกับปิดเทอม คนใหม่ ๆ ที่เปนวัยรุ่นให้หัวใจกระชุ่มกระชวยมาบ้างก็ดี

วันนี้ไปเจอ ออ ซึ่งเปนเพื่อนของน้องคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ออ บ้านอยู่ใกล้ๆ ประตูผีที่เราชอบไปกินผัดไท ก็เลยชวนมานั่งเฝ้าข้าพเจ้ากินผัดไท ผัดไททิพย์สมัย รสทิพย์หาไดเหมือนสมแล้วที่อยู่คู่ประตูผีมานานนม ไปทีไรก็ต้องกินกับน้ำส้มคั้นสด ๆ มีกลีบส้มติดมาด้วยให้รู้ว่าของเค้าสดจริง แถวนั้นก็ยังมีบะหมี่ ราดหน้า แลของกินอื่น ๆ อีกมากมายให้ได้ลิ้มลอง หากแต่วันนี้กินผัดไทห่อไข่เข้าไปจานเดียวเพราะรักษาลุคไม่ให้ดูสวาปามอย่างที่เคย คงไม่ดีแน่ถ้าเกิด ออ เอาไปบอกกับน้องเราว่า ไหนว่าแมวโพงเปนผู้ดีที่แท้ก็เปนปอบ ทั้งเราแลน้องคนนั้นจะขายหน้า

กินเสร็จเดินมาเจอเพื่อนเบ๋ย เบ๋ยเปนเพื่อนผู้ชายซกมกสมัยเรียน บ้านขายผัดไทอยู่ประตูเชียงใหม่แต่วันนี้เบ๋ยมากินกุ้งนึ่งนมสดกับอบวุ้นเส้นแถวนั้น เบ๋ยทักเราเสียงดังอย่างเคยหันไปก็พบกับชายในเสื้อกล้ามโชว์แขนล่ำขาว รูปร่างแบบคนดูแลตัวเอง ไม่ได้หล่อขึ้นแถมหน้าผากยังลึกล้ำลงไปไม่น้อย แต่ทำให้ดูดีอย่างคนเปนผู้ใหญ่ ถ้าไม่ติดว่ามากับ ออ คงโผเข้าไปกอดเบ๋ยแล้ว แต่นี่เบ๋ยมากับเมียด้วย หากทำเช่นนั้นนอกจากจะไม่เปนผู้ดี ออ อาจจะมองว่าเราเปนกระหรี่ เลยได้แต่ทักทายกันด้วยวาจา สุภาพ นิ่มนวล เบ๋ยเสียงดังแต่พูดจาเข้าหูขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจะเปนเพราะไปประกอบอาชีพสจ๊วตมาก็เปนได้ ทักทายเบ๋ยพองามแล้วก็ขับรถเล่นกับ ออ สักพัก คุยกับ ออ จนหนำใจก็ส่ง ออ เข้าบ้านแต่ก่อนจะส่งแวะไปเซเว่นเพื่อไปซื้อขนมขบเคี้ยวแลเครื่องดื่มเปนเสบียงกินระหว่างทาง (นัยว่าตะกี้กินไม่อิ่ม)

 เราตรงไปที่ตู้แช่เพื่อหยิบเครื่องดื่มมาสักขวด มีเครื่องดื่มออกใหม่เปนขวดสูง ๆ มีปลอกคอติดไว้ว่าล้างพิษ ยี่ห้อนี้เขามีหลายขนานบ้างก็เปนสีเหลืองสีแดง ข้าพเจ้าหยิบขวดทรงสูงสีเขียวนั้น สร้างภาพว่าถึงแม้จะอ้วน แต่ก็ดูแลสุขภาพจากภายใน ออ ทัดทานว่า "กินแล้วระวังจะขี้นะครับ" แล้วออก็หยิบขวดสีชมพูลายดอกซากุระที่มีสรรพคุณประมาณว่า กินแล้วสวย ออกไปจ่ายตัง ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจว่าทำไม ออ ถึงอยากสวย จนลืมไปว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกินนั้น กินแล้วจะขี้ ก็เพราะว่ามันเปนสัจธรรมของมนุษย์อยู่แล้ว ที่เสพย์กินอาหารโภชนะเข้าไปก็ต้องแปรเปลี่ยนเปนอุจจาระ อาจมเน่าเหม็น หาก ออ บอกว่ากินแล้วจะไม่ขี้ อันนี้จะน่าสงสัยกว่าว่ามันเปนน้ำทิพย์อันไดฤๅ ที่กินแล้วอาหารจะไม่ย่อย ฤ ไร

ส่ง ออ ลงปากซอยบ้านอันลี้ลับ แคบ ลึก แลเปลี่ยวจนน่ากลัวจะโดนฉุด ข้าพเจ้าอยากเตือน ออ ว่าอย่าพึ่งดื่มน้ำนั้นนะ เดี๋ยวจะสวยจนมีคนอยากฉุด แต่ก็ได้แค่บอกลากันอย่างสุภาพแลเปนผู้ดี ก่อนที่จะเปิดขวดน้ำทิพย์อันนั้นดื่มกินพรวดเดียวเกือบหมดขวด ค่าที่คอแห้งมาก และอยากล้างพิษเต็มแก่

ไม่ถึงสิบนาที ก็เริ่มมีผล ข้าพเจ้ารู้สึกปวดมวนขึ้นในท้อง สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากน้ำทิพย์คงไปมีปฏิกิริยากับน้ำส้มสด ๆ เลยทำให้มีอาการเหล่านี้ แต่ทว่า มันทวีความปวดขึ้นเรื่อย ๆ แลค่อย ๆ เคลื่อนสู่เบื้องล่าง ลำไส้เล็ก และ ลำไส้ใหญ่ตามลำดับ อาการบีบรัดของลำไส้นี้ทำให้ข้าพเจ้าบรรลุแน่แท้ว่าจักต้องมีสิ่งใด ต้องการจะชำแรกตัวออกมาสู่โลกภายนอกแน่ ข้าพเจ้าสั่งตัวเองให้เร่งความเร็วขึ้นทางด่วนโดยไวและขับเร็วกว่ากฏหมายกำหนดไว้โดยไม่กลัวอาญาแผ่นดิน เพราะหากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ข้าพเจ้าเชื่อว่า ตุลาการ จะต้องเห็นใจข้าพเจ้าโดยไม่มีข้อกังขา ผิว่าหากใต้ท้าวว่าความอยู่แล้วอดีตอาหารมันต้องการ การปลดปล่อยโดยไม่รอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ท่านจะกักขังหน่วงเหนี่ยวมันอย่างไรไหว

ถึงทางด่วนรามอินทรา ข้าพเจ้าจ่ายเงินด้วยมืออันสั่นเทา แม้ใกล้ถึงบ้าน แต่วัตถุแปลกปลอมนั้นก็ใกล้ถึงทางออกแล้ว ข้าพเจ้าใช้กำลังเท่าที่มี ขมิบมันไว้ให้แน่น ต้องขอบคุณหมอนพพรที่แนะนำมาว่าการฝึกขมิบ มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายส่วนล่างอย่างอเนกอนันต์ รู้สึกว่าช่วงหนึ่งที่อุทิศเวลาขมิบวันละสามร้อยกว่าที มันมีประโยชน์ก็วันนี้ รถแล่นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ บ้านใกล้เข้ามาแล้ว แต่ใจก็ยังคิดไปต่าง ๆ นานา นึกด่าเครื่องดื่มฉิบหายนั่นอยู่ในใจ น้ำสำรอง ว่าขี้แตกแล้วแต่ยังรอถึงเช้า อันนี่กินปุ๊บขี้ปั๊บ นึกไปถึงสาวออฟฟิศที่ดื่มกันก่อนขึ้นรถเมล์มาทำงาน หากนางกลั้นไม่อยู่คงเปนประสบการณ์ที่น่าอับอายอยู่ไม่น้อย นึกถึงคำพูดของ ออ ที่เตือนเราด้วยความหวังดีแต่เรามันริยำเอง หาได้เชื่อฟังไม่ รู้งี้หยิบไอ้ที่กินแล้วสวยดีกว่า ป่านนี้ ออ คงสวยอยู่ที่บ้านสบายใจไปแล้ว

จอดรถอย่างลวก ๆ เดินบิดซ้ายขวาไป ดีที่มีคนเดินมาเปิดประตูพอดี เปนสาวสคราญ นางโดยสารลิฟท์ไปพร้อมกัน นางเหม่อคิดอะไรอยู่ คงไม่รู้หรอกว่าผู้ร่วมทางกำลังเผชิญกับหายนะของโลกที่ใกล้เข้ามา นางออกไปที่ชั้นหก อยู่คนเดียวข้าพเจ้านึกได้ว่าวันก่อนพุ่งเข้าลิฟท์ไปหมกกับกลิ่นตดที่มีคนตดทิ้งไว้ เรียกได้ว่าในระยะสวนควันปืนเลยทีเดียว กลิ่นสดใหม่มาก หากแต่ไร้ซึ่งเจ้าของตดนั้น มีแต่ข้าพเจ้าต้องระทมอยู่เพียงผู้เดียว มีความคิดที่จะปลอดปล่อยระลอกแรกที่เชื่อว่าน่าจะเปนตดออกมาก่อน แต่มาฉุกคิดได้เกิดมันมีอุจจาระที่ไม่รักดีทะลึ่งพรวดออกมาก่อนเวลาอันควร ทีนี้จะไม่ได้แค่ตดทิ้งในลิฟท์แล้ว เห็นที่จะกลายเปนขี้ทิ้งในลิฟท์เลย ยิ่งถ้ามีคนไปสืบหาในวงจรปิด อนาคตดับสูญแน่นอน

ลิฟท์เปิด ก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว เวลาเดินขมิบยากมาก ทวารเผยอออกนิดหน่อย ลมสลาตันจากภายในแล่นสวนออกมาทันที เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว hallway ต้องรีบเดินเพราะระลอกสองสามกำลังจะตามมา โชคร้ายมันอาจจะไม่ได้เปนเพียงสายลมผ่าน

 ข้าพเจ้าเร่งไปยังประตูห้องแสนรักในระยะ 10 – 9 – 8 – 7 – 6 – 5 เมตรใกล้เข้ามา ระยะที่สาม สอง หนึ่งเมตรก่อนถึงประตู ลมเบิกทวารก็พวยพุ่งออกมาเปนชุด เมื่อเปิดประตูได้ข้าพเจ้าถอดกางเกงทันทีแล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ ถอดไปวิ่งไปกางเกงพันแข้งขาน่าอดสู และเมื่อได้นั่งลงบนชักโครกแล้ว ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้มกว่าการได้นั่งลงบนที่ไหน ๆ มาก่อนในชีวิต เชื่อว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรี หรือบังลังค์ไหนๆ ก็ไม่สบายเท่าชักโครกอันนี้อีกแล้ว

ข้าพเจ้าปลดปล่อยอดีตอาหารที่ถูกน้ำทิพย์อันนั้นเข้าไปขับไล่ออกมาก่อนเวลาอันควร พลางนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไปจากชีวิต นึกถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว สิ่งที่กำลังกระทำอยู่ แลสิ่งที่ควรกระทำต่อไป ผ่านออกไปจากทวารหนักสู่กระแสน้ำวนสายชลวนเชี่ยว เปนเกลียวลึกลงไปในคอห่านนั้น

คำถามในชีวิตมากมายที่ไม่มีคำตอบ หนึ่งในนั้นคือนี่มันเครื่องดื่มอัปปรีย์อะไรกัน ข้าพเจ้าคงไม่ซื้อมาบริโภคอีก หากต้องการจะล้างพิษคงหาวิธีที่ไม่เสี่ยงต่อการขายหน้าขนาดนี้ โชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับ ออ ก่อนหาไม่แล้วพี่อาจจะต้องขี้แตกตูดเปียกแก้ม(ก้น) เปรอะอยู่ที่ไหนสักแห่งในอนาคต ขอกุศลอันนี้ดลบันดาลให้ข้อสอบโอเน็ตปีหน้า ออกเรื่อง เครื่องดื่มอะไรกินแล้วขี้ หรือไม่ก็

ถ้านักเรียนต้องอึแตกใส่กางเกงนักเรียนจะใส่กางเกงในสีอะไร

ก. สีขาว

ข. สีเนื้อ

ค. สีเหลือง

ง. ถูกทุกข้อ ใส่พร้อมกันสามชั้นเลย

ขอให้โชคดีในการสอบ

แมวโพง ทวารยังหวานอยู่

วันเปลี่ยว

เวลาบ่ายสามโมงกว่า ๆ ของวันนี้ ข้าพเจ้ากินมาม่าอยู่ ณ ปั๊ม ปตท โพธิ์ประทับช้าง

ที่เดินทางออกจากบ้านเมื่อตอนสิบโมง แม่ช่วยเอาของขึ้นรถก่อนออกมากอดกับแม่ แม่อวยพรให้เดินทางปลอดภัย เปนแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่จะออกจากบ้านไปไหนไม่ว่าใกล้หรือไกล แม่จะอวยพรให้โชคดีเดินทางปลอดภัย ให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตั้งใจเรียน อะไรซักอย่างขอให้ได้มีไดอาลอกออกจากปากของนาง ตอนเปนวัยรุ่นรู้สึกว่าแม่ยื้อเวลาที่ข้าพเจ้าจะออกจากบ้าน และเราก็จะรีบตัดบทให้นางรีบจบไดอาลอกนั้นเสียทีก่อนจะออกจากบ้านไปสู่โลกภายนอก

ครั้งนี้ข้าพเจ้า ฟังนางจนจบแล้วค่อยออกมา มองกระจกหลังก็เห็นแม่ยืนส่งอยู่จนรถโค้งลับสายตาไป ข้าพเจ้าหวังว่าน้องชายจะกลับมาถึงไม่ดึกนัก ไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียวนานเกินไป

ข้าพเจ้ารู้สึกผิดนิดหน่อยที่โกหกแม่ว่ามีเพื่อนเดินทางมาด้วย แต่ในความเปนจริงแล้วข้าเจ้าเดินทางคนเดียวที่ทำเปนเช่นนั้นเพราะเกรงว่าแม่จะเปนห่วง แล้วถ้าแม่เปนห่วงมาก ๆ คนที่เปนเพื่อนเดินทางจะกลายเปนแม่เสียเองแล้วตอนนั้นทุกอย่างจะไปกันใหญ่ เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าก็ชอบการเดินทางคนเดียวลำพังอยู่ไม่น้อย เพราะมันเปนจังหวะเวลาที่ได้ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสนุกดี ก็นึกขันอยู่ในใจเหมือนกันว่าตอนขาไปแห่กันไปเต็มลำรถขากลับกลายเปนกลับคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าที่แยกย้ายเดิยทางคนเดียว หากแต่ ติ๊ก ษมาวีร์ , พิช วิชญ์วิสิฐ , แมว จารุณี , ใหม่ เสาวลักษณ์ แวน และเอ็ม ถึงที่สุดก็เลือกทางเดินกลับตัวใครตัวมันไม่มีใครได้กลับด้วยกันซักคน อาจะเปนเพราะช่วงเวลาที่ได้เดินทางด้วยกันต่างคนต่างตักตวงความสุขจากกันพอแล้ว จากนั้นต้องแยกย้ายกันไปตกผลึก เพราะที่ว่าเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตนั้น จริง ๆ เราทำตามนั้นจริง ๆ กล่าวคือถกเถียงกันในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ที่มาของเรา ชีวิต โลก จักรวาล ชาตินี้ ภพหน้า สมาธิ ถึงขั้นเอาหนังสือคำสอนของท่าน ว. แลปราชญ์อื่น ๆ มาเปิดอ่านกันในรถเลยทีเดียว แต่ในที่สุดทุกเรื่องก็จะมาจบลงทีเรื่อง “ฉันเปลี่ยว แล สิ้นหวัง” ฤ ไม่ก็เรื่องเซกซ์อยู่เสมอ

บางประเด็นเช่น ตัวเรานี้เปนใครเราได้ทำบุญอันไดหนอถึงได้เวียนว่ายมาเกิดเปนตัวเราและได้มาภพกันในชาติปางนี้ แล้วทำไมเราจำไม่ได้เลยว่าชาติก่อนเรามีชีวิตแบบไหนแล้วเราเปนใคร กระนั้นแล้วในชาติหน้าผิว่าเราหาได้มีความทรงจำในชาตินี้อยู่เลย งั้นเราต้องเชื่อไหมว่าทำกรรมดีจะส่งผลดีในชาติหน้า เพราะในเมื่ออีตัวเราในชาติหน้ามันมันเสวยสุขอยู่แล้วเราจะมาทนลำบากอยู่ในตอนนี้ทำไม แล้วไอ้ที่เราลำบากในตอนนี้เพราะอีชาติที่แล้วมันเสือกทำระยำไว้ฉะนั้นหรือ เราก็ไม่เคยคิดไปโทษมัน แล้วเราควรทำอย่างไรต่อ คิดไปก็เหมือนเปนมารศาสนา แต่ก็ไม่ผิดที่จะคิดเพราะในที่สุดแล้วมันก็คือปรัชญา

ปรัชญาไม่ใช่ผู้กำกับหนังแลโปรดิวเซอร์ที่เปนเจ้านายของข้าพเจ้า หากแต่เปนสิ่งที่ถกเถียงกันไม่รู้สิ้น ถ้าอะไรก็ตามแต่มันมีคำตอบตายตัวมันคือสัจธรรม แล้วทำไมเราต้องมาเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นด้วย ทำไมเราต้องรู้ปรัชญา ก็เพราะปรัชญาคือวิชาที่ทำให้เราแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งสวยงามอะไรคืออัปลักษณ์ อะไรคือดีอะไรคือชั่ว อะไรสว่างอะไรคือมืด อะไรคือรักอะไรคือหลง ข้าพเจ้าขอบอกว่าเราควรได้ครุ่นคิดแลมีถกปรัชญากันบ้าง ไม่กับคนอื่นก็กับตัวเอง เพราะเราจะได้มองอะไรได้รอบด้านขึ้น

มนุษย์เรายุคหนึ่งเคยคิดว่าโลกแบนกันมาแล้ว เคยคิดว่าโลกเปนศูนย์กลางของจักรวาลกันมาแล้ว แต่ในที่สุดก็มีคนเปิดตาให้เราว่าแท้จริงแล้วเราเปนส่วนกระจ้อยจิดนักในเอกภพอันกว้างใหญ่นี้ หากวันนั้นเราไม่ยอมลดทิฐิของตนลงมามองจากมุมกว้างขึ้น ป่านนี้เราคงไม่ได้ไปไหนกันเพราะกลัวว่าออกไปไกลแล้วจะตกขอบโลกที่มีสัตว์ประหลาดรอกิน

กลับมาที่การเดินทางของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้เส้นทางลำปาง – เถิน ก่อนจะเลี้ยวซ้ายไปยังอำเภอทุ่งเสลี่ยมจังหวัดสุโขทัยเพื่อเลี่ยงเส้นทาง เถิน – ตาก – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ เพราะถนนกำลังก่อสร้าง ผุพังแย่มาก แลรถที่ตกค้างจากเทศกาลปีใหม่ยังหนาแน่นใช้ได้ เส้นทาง เถิน – ทุ่งเสลี่ยม – คีรีมาศ – วชิรบารมี เปนทางสายรองในระดับที่เรียกว่าลูกเมียน้อยคนที่ 5 ก็ว่าได้น้อยคนนักที่จะใช้ทางเส้นนี้เพราะเปนถนนสองเลนเชื่อมระหว่างอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หลายครั้งที่ใช้เส้นทางร่วมกับวัวควาย รถอีแต๋น รถไถ ฯลฯ แต่ข้าพเจ้าก็หาได้หวั่นเกรง รู้ทั้งรู้ว่ามันเปนทางอ้อม แต่ก็เลือกจะไปเพราะไม่ได้รีบไปไหนและการมาในถนนเส้นนี้ ก็เหมือนมาในถนนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้เราวิ่งเพราะหลายครั้งที่ถนนทั้งเส้นมีข้าพเจ้าขับรถอยู่คนเดียว บางทีก็เหยียบสุดคันเร่ง บางทีก็เปิดกระจกแล้วขับช้า ๆ ดูวิว บางทีก็แหกปากร้องเพลงไปตามเรื่อง ปวดฉี่ก็ลงไปเยี่ยวเลย พอเข้าชุมชนก็มองดูผู้คนเขาไปตลาด เขากลับจากโรงเรียน เขาแบกแหจะไปทอดที่ไหนกัน เขาอุ้มไก่จะไปไหน มองดูแล้วก็คิดไปเรื่อยเปื่อย เปนความสุขของการเดินทางอีกแบบ

ในขณะที่ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับถนนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ก็มีป้ายเตือนสติเปนระยะ ๆ ว่านี่เปนถนนจากโครงการไทยเข้มแข็งนะไม่ใช่ถนนที่พ่อแม่แกสร้างไว้ แต่พอถัดมาอีกป้ายหนึ่งก็มีป้ายบอกว่าจริง ๆ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างหรอก ก่อนจะเปนไทยเข้มแข็ง เพื่อไทยเขาชงโครงการนี้ว่าไว้ก่อนแล้วตะหากย่ะ อย่าได้มาตู่ แต่ข้าพเจ้าหาได้แคร์ไม่ ไม่ว่าใครจะบอกว่าตนสร้างก็เอาเงินมาจากภาษีพ่อแม่ข้าพเจ้า รวมทั้งข้าพเจ้าเองทั้งนั้นแหละ ท่านทั้งหลาย

ถนน 117 เปนถนนเส้นที่เชื่อมระหว่างนครสวรรค์ พิจิตรแล กำแพงเพชร เปนถนนที่ตัดได้ตรงสะใจมาก มีป้ายเตือนเปนระยะว่าอย่าขับเร็วมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยค่าที่มันตรงแหนวแบบนี้ล่ะ ซิ่งกันลืมตาย ข้าพเจ้าแวะซื้อมันแกวยักษ์กับมะขามหวาน ยังไม่รู้จะเอาไปฝากใครแต่ซื้อไว้ก่อน ท่านทั้งหลายเคยเห็นร้านขายของริมทางไหม ที่จะขายของแบบเดียวกันเด๊ะแต่ตั้งห่าง ๆ กันเรียงรายไป ถ้าเปนทางไปแม่สายก็จะขาย สัปปะรดนางแล กับสะตอเบอรี่ ทางออกจากลำพูนก็ขายส้ม กำแพงเพชรขายผลิตภัณฑ์จากกล้วยนานา สุพรรณก็มีขนมสาลี สิงห์บุรีมีเค้กปลาช่อน ฯลฯ แอบคิดว่าร้านพวกนี้สงสัยเปนเจ้าของเดียวกัน ดูจากโปรดักค์ และดิสเพลย์ของร้านเหมือนกันเด๊ะ แล้วการวางร้านแบบเรียงรายกันไปแบบนี้ได้ผลนะ เพราะด้วยหลักทางจิตวิทยาแล้วมันเปนแบบนี้

ร้านที่1 ฟิ้ว…. “เฮ้ย ขายอะไรวะ”

ร้านที่ 2 ฟิ้ว…. “อ๋อ เค้าขายมันแกวยักษ์”

ร้านที่ 3 ฟิ้ว…. “มีเยอะแฮะสงสัยเปนของดีที่นี่”

ร้านที่ 4-5-6 มีรถจอดซื้ออยู่บ้างซักร้าน “เอ…หรือของเค้าจะดีจริง ถ้าหากเราไม่ซื้อกลับไป เราจะเหมือนมาไม่ถึงที่นี่รึเปล่าหนอ… แต่ไม่…เราเปนคนเก๋ ต้องไม่ตามกระแส”

ร้านที่ 7 ฟิ้ว…. “ไม่…ไม่นะ คนเก๋อย่างเราฤจะซื้อของบ้านๆ แบบนี้”

ร้านที่ 8 ฟิ้ว…. “แต่ซื้อไว้ก็ดีนะ เผื่อคนที่เรารักเราชอบ ที่ไม่ได้เก๋เหมือนเรา”

ร้านที่ 9 ฟิ้ว…. “ไม่…ถ้าเราซื้อไปฝากเค้า เค้าต้องมองเราว่าเปนคนไม่เก๋ ตื้นเขิน รากหญ้า ดูหนังพากษ์ไทย หรือไม่ก็หนังโก๊ะตี๋ ต่อไปนี้เพลย์กราวด์ทองหล่อ หรือ เจ อเฟนิว จะเขาหน้าแกขึ้นป้ายห้ามเข้า”

ร้านที่ 10 ฟิ้ว…. “แต่…มันแกวมันก็หวานดีนะ กรอบ ๆ ฉ่ำๆ”

ร้านที่ 11-15 ใช้เวลาเถียงกับตัวเองพักใหญ่

ร้านสุดท้าย เอี๊ยดดด…. “พี่ ๆ มันแกวขายยังไง”

คนขายยิ้มละไมให้ข้าพเจ้า ไม่นานมันแกวยักษ์ขนาดเท่าหัวคนหรือใหญ่กว่ากับมะขามที่ไม่รู้ว่าหวานหรือเปล่าแต่อยู่ในแพคเกจสวยระดับโอทอป ก็ได้มาเปนเพื่อนร่วมทางกับ แคบหมูทั้งไร้มันและติดมัน น้ำพริกหนุ่ม น้ำผึ้งเดือนหน้า ส้มธนาธร กระยาสาทร กล้วยกวน แลผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่ไม่มีขายในอเฟนิว และร่วมทางกันต่อไป

ข้าพเจ้าใช้ปั๊มปตท โพธิ์ประทับช้าง เปนจุดพักรถก่อนจะเดินทางต่อ ซื้อมาม่ามากินรองท้องกะว่าจะเข้าไปรับประทานมื้อเย็นที่กรุงเทพเลยทีเดียว ระหว่างที่ซดบะหมี่อยู่นั้นก็สังเกตคนที่จอดรถลงมาพัก บ้างก็เปนครอบครัว บ้างก็เปนรถตู้ที่มากันเปนหมู่คณะทัวร์ บ้างก็เปนญาติธรรม มาทั้งสมณะเพศ แลฆราวาส มองเขามาเปนคณะแล้วก็สะท้อนใจนั่งกินมาม่าคนเดียว นั่นเด็กแว๊นส่งสายตามาให้ยิ้มตอบไปหน่อยแล้วเขาก็เดินมาหา คิดว่าจะคุยอะไรกับเขาดียังคิดไม่ทันออกเขาก็เดินเลยไปหาสก๊อยนางหนึ่งที่อยู่ด้านหลังข้าพเจ้า แต่งหน้าจัดเชียว คงจะมาแวะเซเว่นซื้อถุงยางไปเอากัน ชิส์… มาม่าที่กินอยู่เปรี้ยวขึ้นมา แทนที่องุ่นเปรี้ยว

ด้านซ้ายของข้าพเจ้ารถกระบะดีแมกซ์สองตอนพุ่งเข้ามาจอด คนขับเปนชายฉกรรจ์ ลงมาปิดประตูปังแล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ ส่วนด้านคนขับหญิงคนหนึ่งลงมาแลตรงไปยังแผงขายมะม่วงแลผลไม้ดอง รองเท้าก็ไม่ใส่ ไม่นานก็มีเด็กน้อยโผเผออกมาจากเบาะหลังพอมองเห็นเซเว่นก็ตะกายออกจากรถและวิ่งเข้าไป รองเท้าก็ไม่ใส่เหมือนแม่ของเขา เปนเด็กชายวัยประมาณ 5-6 ขวบ เรียกได้ว่าวัยกำลังซน ไม่นานชายฉกรรจ์ที่ควรจะเปนพ่อของเด็กนั่นก็กลับมาที่รถพอไม่เจอเมียก็หน้างอ มองไปที่รถขายผลไม้ นังเมียก็กำลังต่อราคาอยู่หรืออย่างไรไม่ทราบ พอหันมาเห็นผัวหน้างอในรถนางก็รีบกระวีกระวาดรับผลไม้มาแล้วก็กระโจนขึ้นรถ ผัวก็กระชากรถออกไป ข้าพเจ้าคิดในใจว่าฝูงเขาจะรีบไปไหนกันหนอ แต่…เอ๊ะ… ลูกล่ะ หรือน้องนั่นขึ้นรถไปแล้วตอนที่ข้าพเจ้ามองน้องเด็กเทคนิคคนนั้น หรือตอนที่มองพี่คนขับรถสิบล้อคนนี้ หรือ…

ยังไม่ทันจะหรือ…เด็กน้อยก็วิ่งออกมา คงหมายจะกลับมาอ้อนแม่ให้ซื้อขนาดให้แต่พอไม่เจอรถ เด็กน้อยเริ่มมองหาด้วยแววตากังวลขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจะเข้าไปบอกก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หากน้องเค้ายังไม่คิดว่าพ่อแม่เขาทิ้งไป บอกแล้วมาร้องไห้ที่เราก็ซวยล่ะสิทีนี้ แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางเบะปากแล้วก็ร้องไห้ออกมาทันที ผู้คนที่เดินเหิรกันอยู่ในนั้นต่างหันมามองอย่างสงสัย ด้วยความที่เด็กอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าที่ สวมแว่นกันแดด ย้อมผมแดง ไม่แต่งหน้า แต่งตัวน้อยชิ้น ดูเหมือนแกงค์ลักเด็ก หรือไม่ก็พวกหลอกเด็กไปชักว่าวในรถตู้แล้วอัดมาลงแผ่นแบบหนังญี่ปุ่น ข้าพเจ้าจึงตกเปนเป้าสายตาที่สองของฉากนั้นไปทันที

ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป พนักงานเซเว่นสาวก็เดินมาหาเด็กพร้อมเอ่ยด้วยเสียงเหน่อ ๆ

พนักงานเซเว่น “โอ๋ ๆ ๆ หนู่เปนอะไร พ่อแม่ไปไหน”

เด็ก “ฮือ ๆ ๆ ณฯญ๊ํ๗ฑู฿ธโธฏูฑฑธํโฮ์?ศ๊ญ” (ร้องไห้สะอึกสะอื้น จับความไม่ได้)

ข้าพเจ้า “พ่อแม่เค้าลืมไว้น่ะครับ สงสัยไม่รู้ว่าน้องลงมา”

ข้าพเจ้าช่วยได้เท่าที่ช่วยจากนั้นรถตำรวจก็ปราดเข้ามา เปนรถนิสสันรุ่นใหม่ที่เปน SUV มีสติ๊กเกอร์แปะไว้หน้ากระจกว่า “สืบสวนที่เกิดเหตุ” ข้าพเจ้าเพ่งมองข้างในก็พบว่าเปนตำรวจจริงไม่ใช่ดาราที่เอารถตัวเองแอ๊บทำรถตำรวจแต่อย่างใด ตำรวจมาแวะเซเว่นพอดี พนักงานจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคนในเครื่องแบบที่ดูน่าไว้ใจกว่าข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็พบว่านี่มันสี่โมงแล้ว ควรออกเดินทาง แล้วข้าพเจ้าก็ทิ้งปั๊มน้ำมัน ปตท โพธิ์ประทับช้าง เด็กน้อย ตำรวจสอบสวนและพนักงานเซเว่นไว้เบื้องหลัง

ขับรถล่องไปก็มองดูว่าจะมีรถดีแมกซ์ขับตะบึงห้อสวนขึ้นมาหรือเปล่า แต่ดีแมกซ์เยอะเหลือเกินเลยคิดว่าหนึ่งในนั้นคงเปนพ่อแม่เด็กแน่ ๆ ไม่นานน้องก็จะได้กลับคืนอ้อมอกของครอบครัวอันเปนที่รัก แต่เหตุการณ์นี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปแบบไหนหนอ น้องเด็กจะจำเปนบาดแผลในใจว่าโดนทิ้งหรือจะลืมมันไป ผัวเมียเขาจะทะเลาะกันแล้วใครจะโทษใครที่ต่างคนต่างลงไม่ดูลูกว่าก็ลงไปด้วย อันนี้ก็ไม่รู้ แต่ถ้าเวลาผ่านไปเรื่องพวกนี้ก็จะกลายเปนเรื่องขำในชีวิต

มีบ่อยไปที่ข้าพเจ้าเคยเดินจูงมือใครก็ไม่รู้ไปในตลาดอยู่นานสองนาน เงยหน้าขึ้นดูกลับไม่ใช่แม่ของตน สตรีนางนั้นก็ตกใจว่านี่ก็ไม่ใช่ลูกตน แต่ไม่นานแม่ของข้าพเจ้าก็มาพบและนางก็พบลูกตัวเองร้องไห้อยู่หน้าร้านขายของหวาน มีอยู่ทีนึงที่ไปทัวร์กันหลายครอบครัวแล้วก็ขึ้นรถทัวร์ผิด นั่งไปได้นานสองนานก็พึ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่รถตน พ่อแม่พี่น้องกูหายไปไหน ญาติมิตรหายเกลี้ยง นั่งรถไปกับคนแปลกหน้าล้วน ๆ แล้วคนเหล่านั้นก็คิดว่าข้าพเจ้าคงเปนลูกหลานใครสักคนในคนนั้นเลยไม่เอะใจ จวบจนข้าพเจ้าเริ่มเดินพล่านแล้วร้องไห้ออกมา ผู้คนจึงเริ่มให้ความสำคัญและในที่สุดรถของทัวร์ข้าพเจ้าก็ตามาเจอแล้วรับตัวข้าพเจ้าไปโชคดีที่รถไปทางเดียวกัน หาไม่แล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเปนยังไง คงไม่ร้ายแรงอะไรมาก ผู้ใหญ่คงจัดการให้

พูดถึงการเปนเด็กก็ดีไปอีกแบบ เมื่อทำอะไรไม่ได้คิดอะไรไม่ออกพบกับทางตัน ก็ร้องไห้ออกมาซะ เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็จะจัดการให้ บางทีโตแล้วบางทีก็อยากทำแบบนั้นบ้าง อะไรไม่ได้ดังใจในกองถ่ายก็ร้องไห้ลงไปนอนกลิ้งหมุนติ้ว ๆ ๆ ให้ทีมงาน ดารา ตัวประกอบเห็นใจแล้วในที่สุดก็จะมีคนตามใจให้ได้กระนั้น เห็นที่จะเปนไปไม่ได้ จะลองทำก็ได้แต่ผลลัพท์อาจจะไม่เปนไปตามประสงค์

คนเราใช้เวลาเท่าไหร่กันหนอ กว่าจะรู้ว่าทุกสิ่งมันไม่สามารถเปนไปดังหวัง ทุกสิ่งไม่ได้หมุนรอบตัวเรา ทุกสิ่งไม่สามารถได้มาด้วยการง้ำปากกระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ จะเอาจะเอา…ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนตามตรงว่าจำไม่ได้จริง ๆ รู้แต่ว่าผ่านมาหลายความผิดหวังเหมือนกันกว่าจะทรนงได้แบบนี้

เวลาประมาณห้าโมงเย็น ข้าพเจ้าเลี้ยวผิด เข้าใจว่าทางไปสุพรรณนั้นเลี้ยงตรงอุทัยก็ได้ แต่พอเลี้ยวไปแล้วก็ไปได้เหมือนกันแต่…อ้อมโคตร กดถามขวัญใจ (จีพีเอส) ขวัญใจก้ได้แต่ตอบเสียงเย็น ๆ ว่าให้กลับรถอยู่นั้น ข้าพเจ้าคำรามด่าขวัญใจว่าอีควาย กูไม่ได้อยากกลับไปทางนั้น แล้วจึงให้นางหุบปากเสีย ด้วยทิฐิมานะที่ไม่อยากกลับรถไปทางเก่า ทำให้ข้าพเจ้าต้องขับอ้อมยิ่งกว่าเดิม ไปทาง อุทัย – ชัยนาท – สุพรรณ – บางบัวทอง แต่ก็ปลอบใจว่าอย่างน้อยขับผ่านวิทยาลัยเทคนิคอุทัยธานี ก็มีน้อง ๆ ยิ้มให้บ้างอะไรบ้างเปนสิ่งชุ่มฉ่ำที่พบได้รายทาง

ขณะที่ขับมาจากสุพรรณบุรีมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนวงแหวน วูบหนึ่งในความมืดข้าพเจ้าคิดว่ามันช่างเปนเวลาที่ไม่รู้จบจริง ๆ เราต้องขับรถฝ่าความมืดไปอีกถึงไหน รถไม่ใช่จะน้อย ปวดตีนด้วย ถึงแม้จะใช้ cruise control บ้างแต่รถต่างผุดมาจากซอยบ้างยูเทอร์นบ้าง เปลี่ยนเลนบ้าง ทำให้ต้องแตะเบรคบ่อย ๆ ไม่สามารถพักตีนได้เกินนาทีสองนาทีเลยให้ตายสิ ความคิดที่จะนวดตีนเกิดขึ้น วางแผนว่าจะไปนวดตีนแถวๆ อิมแพค แถวนั้นพอจะมีร้านอยู่บ้าง เคยเห็น ถ้าเรามุ่งหน้าทางแครายก็น่าจะผ่าน

แล้วข้าพเจ้าก็เลี้ยวผิด อีกรอบคราวนี้ขึ้นทางด่วนไม่ได้ผ่านอิมแพคเมืองทองใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไป เปนที่ไหนดี ในที่สุดก็เปนสีลม ย่านโลกีย์อมตะ ถึงสีลมจอดรถแสนแพงเมื่อยตีนมาก เดินมองหาป้ายรูปตีนใหญ่ ๆ อันเปนสัญลักษณ์บอกว่าที่นี่มีนวดฝ่าเท้า ในวันนี้ทำไมหายากจัง ในที่สุดก็นวดที่ร้านช้าง ๆ อะไรก็ไม่รู้ เมื่อยมากเห็นป้ายตีนแล้วแทบอยากลงไปกราบตีนอันนั้นจริง ๆ ในที่สุดก็ได้นวด…สบายตีน

กลับบ้าน ไขประตูเข้าไป ของเกลื่อน ขนสีขาว ๆ ของน้องอีฟร่วงเปนกระจุก ๆ กระจายเต็มห้อง ซีดีหล่นลงมากระจายกับพื้น ทรายแมวเกลือนอยู่ทั่วไปบนพื้นห้อง ข้าวของไม่ได้อยู่ในที่ของมัน ห้องน้ำ กระบะทรายแมวมาอยู่กลางส้วมเลย อาหารสดก็ส่งกลิ่นที่เริ่มจะเน่า อยากจะกรี๊ด สองที กรี๊ดอันแรก ใส่หน้าน้องแตม เด็กส่งข้าวที่อุส่าไว้ใจ แต่พอนึกได้ว่าแมวกูก็ดูสุขภาพดีอ้วนพีผ่องใส ก็ใจเย็นลงหน่อยเปลี่ยนจากกรี๊ดเปนตบหน้าแทน เพราะน้องแตมไม่ได้โกยขี้แมวออกจากกระบะเลย อ้างว่าชักโครกเสีย น้องก็เลยเอาทรายเททับลงไปเรื่อย ๆ แต่พอทรายยิ่งเยอะแมวยิ่งตะกุยออกมาผลคือเกลื่อนกล่นไปทั่วทั้งห้อง กรี๊ดที่สองคือกรี๊ดใส่หน้าอีพี่สาวตัวดี นางมาแล้วก็คอยบ่นคอยฟ้องว่าน้องแตมไม่ได้ให้ข้าวแมวบ้าง น้องแตมไม่ให้น้ำ น้องแตมไม่กวาดขี้ น้องแตมไม่กวาดบ้านบลา ๆ ๆ แต่ทั้งหมดนั้น นางโทรมาบอกเฉย ๆ แต่ไม่ได้ทำอะไร บ้านที่น้องแตมไม่ได้กวาดนางก็ปล่อยให้เปนแบบนั้น และแมวนางก็อยู่ที่บ้านเราด้วย สุดท้าย ไม่ว่าอยากจะกรี๊ดใส่หน้าใคร ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลง ๆ บรรจงกวาดบ้าน เก็บขี้แมวเก็บขนแมว ทำให้พอเปนเหมือนเดิม นึกถึงตอนกลางวันโทรไปบอกพี่สร้อย แม่บ้านให้มาทำความสะอาด นางกลับร้องไห้เสียงสั่นเครือกลับมา บอกว่าขอเปนพรุ่งนี้เพราะพึ่งเสร็จจากศพพี่สาวของนางที่พึ่งผูกคอตายไป ข้าพเจ้าก็ได้แต่แสดงความเสียใจ แล้วรอพรุ่งนี้ให้พี่สร้อยมาทำความสะอาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อยเหมาะแก่การอยู่อาศัยบ้าง ถ้าพี่สร้อยยังไม่มา ข้าพเจ้าเห็นทีจะผูกคอตายตามไปด้วยคนเปนแน่แท้ ทนบ้านรกไม่ไหวจริง ๆ

จบบันทึกวันเปลี่ยนของข้าพเจ้าแต่เพียงเท่านี้ แลขอให้ทุกคนมีบ้านที่สะอาดมีห้องหับที่น่าอยู่ถูกหลักอนามัย

แมวโพง รักความสะอาด

ปล. สวัสดีปีใหม่ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ปีนี้จะพยายามอัพสเปศให้บ่อยขึ้นน้า

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

ลมฝนปรวนแปร ท้องฟ้าแปรปรวน ความคิดถึงเย้ายวน ให้ใจรวนเร…

     หายไปนาน ไม่ได้เจอหน้าใครเลยนอกจากคนที่ทำงานและคนที่แวะเวียนมาเจอกันบ้างเป็นกิจวัตร นับตั้งแต่การจากไปของพ่อนี่ก็ผ่านมาร่วมเดือน ชีวิตเปลี่ยนไปมากแน่นอนมีความเศร้ายังหลงเหลืออยู่ในบางอารมณ์ที่คิดถึง โดยเฉพาะบางทีที่มองเหม่อกลับไปในอดีตอันเก่าที่ยังเป็นเด็กและพ่อคือคนที่เรารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเสมอเวลาอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้ดีเหลือเกิน ทบทวนไปมาหลายครั้งข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะขอบคุณพ่ออย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่เคยขาดอะไรเลย ความรัก ความอบอุ่น ความผูกพัน ประสบการณ์ชีวิตทั้งดีและร้ายที่พ่อให้มาทำให้มีวันนี้ และนี่คือชีวิตที่ดี ที่ข้าพเจ้าบอกได้เต็มปากว่าข้าพเจ้ารักชีวิต และจะรักษาชีวิตที่พ่อให้มาให้ดีที่สุด

ขออนุญาตไปร้องไห้…

     ชีวิตของเราทุกคนในบ้านก็เดินต่อไป แม่ก็ทำธุรกิจของพ่อต่อ แม้บางครั้งนางก็โทรมาบ่นว่าพ่อไม่มาหา มาเยี่ยมบ้างเลย ก็ได้แต่บอกไปว่าดีแล้ว แปลว่าเค้าไปสบาย พี่สาวก็กลับมาทำงานที่ กทม ข้าพเจ้าก็เช่นกัน เราก็ต่างดำเนินชีวิตไปในทางของตน ทุกอย่างอาจจะเหมือนเดิมเพียงแต่มุมมองหลายอย่างในชีวิตก็เปลี่ยนไป ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไรคงยากจะบรรยายให้เข้าใจภายในพื้นที่เล็ก ๆ นี้และรังจะทำให้เครียดกันไปเปล่า ๆ จึงขอขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคำปลอบโยนที่ทุกคนให้มา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้ทุกคนเดินต่อไปด้วยกำลังที่เข้มแข็งเช่นกัน

     ช่วงนี้ก็ไม่ได้ไปไหนมาก เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกงานเพราะเล็งเห็นแล้วว่าปีที่กำลังจะผ่านไป (2009) อันนี้เรายังไม่มีงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย โดยเฉพาะหนังใหญ่ที่หลาย ๆ คนรออยู่และข้าพเจ้าก็อยากจะทำใจจะขาด หากแต่เมื่อความเศร้าโศกผ่านไปกลับมาทบทวนงานอีกครั้งก็พบว่าผลงานที่เขียนเมื่อจิตใจว้าวุ่น ไม่มีสมาธิผ่องใสนั้นเฮงซวยห่วยแตกสิ้นดี กระนั้นแล้วก็รื้อใหม่และร่วมกันทำกับพี่เอกสิทธิ์เหมือนเดิม ขอบคุณพี่เอกที่ไม่ลุกขึ้นต่อยหน้าเมื่อข้าพเจ้าพูดว่า “เรามาเริ่มกันใหม่ดีกว่าพี่” ซึ่งแปลว่าสิ่งที่คิด ๆ เขียนๆ กันมา 4-5 ปี ตั้งแต่เริ่มทำหนัง 13 เกมสยอง ก็ต้องรื้อใหม่หมด และการเขียนสร้างโครงเรื่องใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ทำมันจนสำเร็จ

     หนังเรื่องนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ Heavencore กับ 14 Beyond เหตุที่แบ่งออกเป็นสองภาคคือเนื้อเรื่องเยอะ มีสิ่งที่ต้องอธิบายแยะ (ค่าที่ก่อนหน้านั้นใส่ปมไว้เยอะ สมน้ำหน้าตัวเอง) แต่อย่างไรก็ดีความเข้มข้นสนุกสนามเราใส่เต็มที่ และจะจบจริง ๆ แล้วไม่มีภาคต่ออีกต่อไป ในปี 2009 นี้ก็เป็นการเขียนบทและเตรียมงานหากเป็นไปได้ ภาคแรกคงได้ถ่ายประมาณเดือน ธค และคงจะได้ดูไม่เกินปี 2010 นี้แน่นอนจ้า

     จะว่าไปปี 2010 นี้ก็ครบรอบ 10 ปีของการทำหนังของข้าพเจ้าแล้วนะ หากจะนับตั้งแต่หนังนักศึกษาเรื่องแรกตอนอยู่ปี 2 มาจนถึงปีนี้ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังทำหนังทุกปี มีความคิดในหัวตลอดว่าเรื่องหน้าเราจะทำอะไร และก็ยังไม่เคยหมดไอเดียที่จะเอามาทำหนัง หรือเลิกทำหนัง ยังคงหวังสูงและหวังไกลไปเรื่อย ๆ และก็จะทำทุกอย่างที่หวังให้ได้จริง ๆ คอยดู

     ส่วนเรื่องงานเพลงของวงน้องสิงห์ ยังคงมีและทำกันต่อไปแน่นอน ช่วงนี้มีงานเดียวก็คือไปเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองจีน เล่นวันที่ 7 พย แต่ก็มีงานติดต่อเข้ามาบ้าง ซึ่งก็เป็นงานในวันที่ 7 พยเหมือนกัน ติดต่อมาด้วยกันถึง 2 งานซ้อน ๆ โชคชะตาเล่นตลกกับวงนี้เสมอ เวลาที่ไมมีใครจ้างก็ไม่มีเลยเป็นเวลา 2-3 เดือน และเมื่อจะจ้างก็เข้ามาในวันเดียวกัน 60-90 วันที่ผ่านมาทำไมพี่ๆ เจ้าภาพไม่คิดถึงวงนี้กันเร้ยยย คิดเสียว่าปีนี้คงเป็นปีชง ไม่เป็นไร ตอนนี้น้อง ๆ ก็แต่งเพลงกันเอง ตอนนีิ้มีประมาณ 5 เพลงที่คิดว่าโอเคแล้ว เหลืออีกส่วนหนึ่งก็ทำกันต่อไป ได้ฟังปีหน้าแน่ ๆ หวังว่าคงไม่ใช่ปีชง  

     ก่อนจะปีหน้าปีนี้อยากจะมีเอ็มวีและ EP มาให้ดูและฟังเล่นแก้เหงา ตอนนี้ขอเคลียร์หลาย ๆงานก่อน น้อง ๆ พึ่งสอบเสร็จ ส่วนแมวโพงก็กำลังเก็บตัวเขียนงานของตัวเอง งานของน้องสิงห์ยังมีอีกหลายงานแต่ข้าพเจ้าคงมีส่วนร่วมกับน้องน้อยลง เพราะอย่างเรื่องเพลงก็วางทิศทางให้แล้วก็ให้ทำเอง อะไรเองมากขึ้น เรื่องหนังก็เจอ ผกก คนอื่นบ้างก็ดีจะได้เรียนรู้การทำงานที่หลากหลาย และที่สำคัญ ข้าพเจ้าจะได้ไปทำงานอื่น ๆ บ้างได้แร้วววว

     ส่วนเรื่องซิทคอมที่เป็นข่าวนั้น จริงฮะ กำลังทำอยู่แต่ไม่ได้ถึงขนาดแฉวงการเรียลลิตี้อะไรขนาดนั้น แค่มีอะไรยั่วล้อเล่น ๆ ขำ ๆ เอาฮา ตอนนี้ก็รอผู้ใหญ่ของช่องสรุปพระเอกนางเอกก่อน ทำทีวีมีอะไรปวดกบาลกว่าทำหนังเยอะเลย แต่คงเป็นวิถีปกติของคนทำทีวีกระมังเลยเลยมีคนปลอบใจว่า “ก็งี้แหละ” บ่อย ๆการหันมาทำทีวีนั้น เกิดจากความสนุก อยากรู้อยากลอง ได้เห็นวงการอื่น ๆ ว่าเขาทำงานกันยังไงบ้าง จากที่เคยดูแล้วบอกว่า “ทีวีแม่งไร้สาระว่ะ” และก็เคยคิดเหมือนหลาย ๆ คนที่ว่าทำไมทีวีไม่ทำละครแบบนั้น ซีรี่ย์แบบนี้ออกมาบ้าง คราวนี้เข้าไปด้วยตัวเองเพื่อให้รู้ว่าทำไม และจะเอามาเล่าสู่กันฟังในอนาคต แต่ถ้าละครออนแล้วก็ช่วยกันดูเยอะ ๆ ด้วยน้า อย่างหนึ่งที่รู้มาคือวงการทีวีโหดร้ายมาก เรตติ้งคือทุกอย่างจริง ๆ

     ชีวิตในด้านอื่น ๆ ก็โอเค ไม่มีอะไร อยู่บ้านเขียนบทก็อยู่กับน้องเงินเงิน แมวซน แต่ก็น่ารักดีไม่เหงาจนเกินไป บางวันเขียนงานคนเดียวได้คุยแต่เอ็ม ไม่ได้คุยกับคนจริงๆ สักคำก็มี ก็ได้แมวเนี่ยแหละให้เราคุยด้วย ชอบเหมือนกันเพราะมันไม่เถียงหรือพูดอะไรยอกย้อนแทงใจดำ

     มีช่วงก่อนไปทำงานที่ออฟฟิศ ห้องทำงานไม่มีหน้าต่าง แอร์ก็เย็นมาก ทำได้ 3 วันไข้ขึ้นตอนนีก็ยังไข้ขึ้นอยู่แต่ก็ดีขึ้นแล้ว แต่คิดว่าน่าจะมาจากปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศทำให้ข้าพเจ้าป่วยไข้ ไม่ใช่แค่ห้องแอร์ที่บาแรมยู จึงอยากจะให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพให้ดีในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงอากาศเปลี่ยน ใครที่บ้านอยู่ใกล้แม่น้ำก็ระวังอุทกภัยน่้ำท่วม ใครอยู่แถวดอนเมืองก็ระวังมีจระเข้ในท่อระบายน้ำ ใครที่บ้านอยู่ใกล้ทะเลก็ระวังแมวโพงจะไปเยี่ยมหา ช่วงนี้อยากไปรีแลกซ์อยู่

รอติดตามผลงานกันต่อไปเน่อ คิดถึงทุกคน

แมวโพง อ้วนพี ดีงาม

โรคภัยไข้เจ็บ

สัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่เชียงใหม่มาตลอด

แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอกเพราะพ่อป่วยหนักมากมาย จริง ๆ ก็สลับกับพี่สาวมา ๆ ไป ๆ แต่มีช่วงนึงที่หมอบอกว่าไม่น่าจะไหวเพราะแกหยุดหายใจไปพักนึงและปั๊มขึ้นมาใหม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ควรพลาดนาทีระทึกใจเหล่านั้นจึงหอบงานมาและประจำอยู่ที่นี่พักใหญ่ จริงๆ พ่อป่วยมาหลายปีแล้วตั้งแต่เป็นตับเจ๊งและก็อะไรมากมาย จากนั้นหมอก็พบมะเร็งที่กล่องเสียงจึงได้ทำการผ่ากล่องเสียงออกไปและแกกูพูดอะไม่ได้อีกเลย แม่พยายามจะให้แกฝึกพูดแต่แกก็ไม่ยอมดังนั้นก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่หรืออาจจะคิดว่าพูดมาตลอดชีวิตแล้ว อยู่เงียบ ๆ คนเดียวอาจจะได้คิดอะไรมากขึ้น

แต่จากนั้นไม่นานนักหมอก็แจ้งข่าวร้ายว่ามะเร็งได้ลามไปทั่วทั้งร่างกายแล้วไปยังทางเดินอาหาร ปอด และตับ และกระดูก (ดูในฟิล์มเอกซเรย์ เห็นว่ากินจนซี่โครงหัก) แต่พ่อก็ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลแม้ว่าจะดูอ่อนเพลีย ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ก็มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และร่ำร้องจะกลับบ้านตลอดเวลา ห้องที่พ่ออยู่เป็นหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายหรือเป็นห้องรวม อาการแบบนี้อยู่ห้องพิเศษไม่ได้เพราะแกหายใจไม่ได้เองต้องมีเครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ไอ้เครื่องนี้ต้องมีแพทย์ควบคุมในการปรับปริมาณให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ขนาดว่ามีเครื่องนี่ยังเคยมีคืนนึงที่แกหลับไปและหัวใจก็หยุดเต้นไปเอง คณะแพทย์และพยาบาลก็ปั๊มขึ้นมาจนได้ โชคดีว่าตอนนั้นพยาบาลเดินมาวัดความดัน หาไม่แล้วแกคงสวัสดีลาโลกไปหาบรรพบุรุษอย่างสวัสดิภาพไปแล้ว

 

การได้มาอยู่ในหอผู้ป่วยได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง พี่สาวที่มาอยู่ก่อนหน้านั้นเม้าให้ฟังมาบ้างแล้วว่าแต่ละเตียงเป็นยังไง ข้างเตียงพ่อเป็นชายแก่ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงสวมเครื่องช่วยหายใจเช่นกัน มีลูกหลานมาเยี่ยมเป็นบางโอกาส จับความว่าเป็นเสี่ยเจ้าของกิจการขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่ลำพูน ตอนนี้เส้นเลือดในสมองแตกพร้อมด้วยโรคชราทำให้ตอนนี้นอนอยู่ในสภาวะกึ่งนิทรา คนรู้จักมาเห็นก็ตกใจไม่คิดว่าจะอยู่ในสภาพนี้

อีกฝั่งหนึ่ง เป็นชายอายุประมาณห้าสิบต้น ๆ เส้นเลือดในสมองแตกเช่นกัน (ทำไมพึงเปนกันเยอะวะ) เปนอัมพาตไป ที่ขยับได้ก็มีแค่หัวกับปาก ฉะนั้นที่ทำได้แกก็ส่งเสียงร้องโวยวาย หรือคร่ำครวญเมื่อเจ็บปวด และร้องเรียกหาลูกสาวที่ชื่ออ๋อย ตลอดเวลา อ๋อยเป็นสาววัยสามสิบทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูนนางไปทำงานที่นิคมในตอนกลางวันและมาดูแลพ่อในตอนเย็น อ๋อยและครอบครัวเป็นคนลำปาง พ่อถูกส่งตัวมาที่สวนดอกเพราะทางนั้นดูแลไม่ไหว ทางสวนดอกบอกว่าไม่เป็นไรแล้วแค่ต้องดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ และระวังอย่าให้นอนจนเปนแผลกดทับ ส่วนจะให้ลุกขึ้นมาเดินเหินได้ดังเดิมคงไม่มีหวัง หากนางมีเงินอาจจะพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยได้มากกว่านี้แต่มันไม่ใช่ อ๋อยมาปรับทุกข์กับพี่สาวบอกว่าไม่รู้พ่อจะเปนอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ พี่สาวบอก ไม่เปนไรหรอกบางคนยังอยู่ได้เปนสิบ ๆ ปีเลย อ๋อยตกใจ "ตายแล้ววว ละอ๋อยจะทำไงเนี่ย อ๋อยยังไม่มีผัวเลยยย" อ๋อยแรงงง

พี่สาวเล่าให้ฟังอีกว่ามีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งหน้าตาดีเปนนักกีฬาบาสมาจากโรงเรียนปรินซ์ เขามีสุขภาพแข็งแรงดีทุกอย่าง วันหนึ่งก็ล้มลงหัวใจหยุดเต้น กว่าจะพามาโรงพยาบาลปั๊มได้ก็หยุดไปสองนาทีเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย จำได้ลาง ๆ พี่สาวเรียกเขาว่า "บี้ เดอะสตาร์" ตามละครพระจันทร์สีรุ้งที่กำลังออกอากาศ บี้ ความจำฟั่นเฟือน แต่ก็เรียกเสียงฮาได้จากเพื่อน ๆ เวลามาเยี่ยมและพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่นาน ๆ ไปเพื่อนก็หายไปทีละน้อยตามประสาวัยรุ่นที่เห็นว่ามีสิ่งอื่นที่น่าสนุกกว่าการไปเยี่ยมเพื่อนที่ รพ บี้จึงนั่งเหงาอยู่หลายเวลา บางทีเขาก็มีการ์ตูนเปนเพื่อน บางทีก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ พี่สาวบอกว่าเธอควรจะมาเพราะบางโอกาสบี้ก็ลืมคาดเชือกกางเกงผู้ป่วย เวลาลุกขึ้นยืนกางเกงก็ร่วงลงมากองที่ตาตุ่มเผยเห็นแก้มก้นอันนวลเนียน ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ อยากเห็นด้านหน้ามากกว่า

บี้อยู่ รพ นานมากจนพี่สาวไปสืบทราบมาว่าเขาเปนโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แม่ของเขากลัวว่าถ้าออกไปข้างนอกไม่รู้จะล้มอีกเมื่อไหร่ ฉะนั้นขอฝากไว้ที่ รพจนกว่าจะได้ชิปกระตุ้นหัวใจ ที่เวลามันล้มไปแล้วชิปนี้จะกระตุ้นหัวใจให้ทำงานต่อไปได้อีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะนำมาส่ง รพ วันที่ข้าพเจ้าไปถึง บี้ถูกส่งเข้าผ่าตัดพอดีวันนั้นแม่ของเขาหน้าตากังวล แต่อีกไม่กี่วันต่อมาบี้ก็ออกจาก CCU และพักฟื้นอีกไม่นาน ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเห็นแม่ของบี้ดูเธอมีความสุขขึ้นมาก

อีกรายหนึ่งเห็นว่าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ดูน่ารักคงจะอายุประมาณสามขวบ นอนซมอยู่พี่สาวกับข้าพเจ้าชวนกันเข้าไปเล่นกับน้อง ปรากฏว่าเข้าไปอ่านป้ายระบุว่าน้องคนนี้อายุสิบห้าปี แต่ด้วยความผิดปกติทางฮอร์โมนทำให้เจริญเติบโตแปลก ๆ ทีนี้ร่างกายเจริญไม่สมส่วนกันกระดูกโตไปทางเส้นเอ็นไปทาง อวัยวะภายในไปอีกทาง ทำให้น้องเขามีสภาพน่าเวทนาคือตัวเล็กและร่างกายบูด ๆเบี้ยว ๆ น้องเค้ามีแววตาสดใสแบบเด็ก ๆ และชอบอ่านการ์ตูน ดังนั้นจะเรียกน้องเขาว่า "น้องการ์ตูน" น้องการ์ตูนร้องไห้เสียงดังเพราะเจ็บหลัง แม่น้องบอกว่าเป็นอะไรไม่รู้ก่อนหน้านี่ยังนั่งได้ (แต่เดินไม่ได้) แต่ตอนนี้นั่งไม่ได้เสียแล้วเพราะจะเจ็บมาก และนี่ก็รอหมอมาสามวันแล้วหมอจะให้ผ่าหรือไม่ผ่ายังไงก็ไม่บอกเสียที

นางมาจากอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย อุ้มลูกขึ้นรถสองแถวมาหวังว่าหมอที่สวนดอกจะให้คำตอบได้ดีกว่าที่เธอมา ข้าพเจ้าคะเนน้ำหนักของน้องเขาแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า สิบห้ากิโล แต่แม่น้องการ์ตูนอุ้มมา อุ้มขึ้นรถสองแถวมาในเมืองเชียงราย แล้วนั่งรถโดยสารจากขนส่งเชียงรายมาเชียงใหม่ จากนั้นก็อุ้มน้องนั่งสี่ล้อแดงมายัง รพ สวนดอก จากนั้นก็นั่งรอการตรวจเปนวัน ๆ กว่าจะได้มานอนบนหอผู้ป่วยนี้ ความเปนอยู่บนหอผู้ป่วยเขาไม่ได้ให้ญาตินอนเฝ้า แม่น้องการ์ตูนจึงต้องเอาเก้าอี้หรือบันไดขึ้นเตียงผู้ป่วยมานั่งและซบกับเตียงน้องการ์ตูนหลับไปทุกวัน เคยถามอ๋อยว่าเธอนอนที่นี่ได้อย่างไร อ๋อยบอกว่าแอบนอนใต้เตียงผู้ป่วยด้านนอก ข้าพเจ้าทึ่งในความสามารถของนาง ช่างไม่กลัวว่าจะมีมือที่สามห้อยลงมาจากเตียงด้านบนที่ไม่มีคนอยู่หรือ อยากจะถามนางไปอย่างนั้นแต่เกรงว่านางจะด่าเอา

มีคนแก่อีกเปนจำนวนมากที่วนเวียนเข้าออกในห้องนั้น แม่บอกว่าเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาสองคนแล้วช่วงนี้เขาเลยเครียด ๆ แต่ที่ไม่เครียดน่าสนุกก็มี คนแก่บางคนตะโกนโวยวายออกมาอย่างควบคุมไม่ได้หรือพูดอะไรก็ไม่รู้ ผู้ป่วยเปนโรคทางสมองบางคนเพ้อพก จีบผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเมียตัวเองก็มี หรือคนป่วยที่ควบคุมการพูดไม่ได้มาเจอกับญาติที่หูตึง ต่างฝ่ายต่างพูดกันคนละเรื่องคนนึงพูดเรื่องตัวเองแก่แล้วเจ็ดสิบแล้วควรตายได้แล้ว อีกคนพูดเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวที่หลานสาวไปทำใหม่ (ไม่ได้เสือกไปฟังนะ แต่เขาพูดกันเสียงดังจริง ๆ)

 

หลากหลายชีวิตหอผู้ป่วย มีทั้งทุกข์ยากลำบาก หรือมีทั้งรอยยิ้ม สิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นที่ซ่อนอยู่ในความเจ็บป่วย นั่นคือความรัก ความห่วงหาอาทร ในยามเจ็บไข้ มองเห็นคนในครอบครัวดูแลกัน ไม่ยอมห่างไปไหนมันก็ตื้นตันใจ มองเห็นแม่ที่นอนซบอยู่กับเตียงลูกได้ทุกคืนโดยไม่มีบ่น เห็นอ๋อยที่มุดใต้เตียงผู้ป่วยที่ไม่รู้จะมีคนตายบนนั้นมาแล้วกี่คนโดยไม่กลัวผี และเห็นอีกหลายชีวิตที่นั่งรอคอยอย่างมีความหวังว่าคนที่เขารักจะกลับมาแข็งแรงดีดังเดิม หนึ่งในคนที่สร้างความสะเทือนใจที่สุดคือพี่ผู้ชายคนหนึ่งเปนมะเร็งสมอง เขาจะงง ๆ เบลอ ๆ ตั้งแต่ป่วยมาแฟนมาเยี่ยมได้สองสามครั้ง แต่คนที่มาดูแลทุกวันคือแม่ บางทีเขาหลับอยู่แม่แก่ ๆ ของเขามีเหตุต้องไปข้างนอก นางเดินมาขอความเมตตาให้ข้าพเจ้าช่วยดูแลพี่คนนั้นให้หน่อยถ้าเขาตื่นมาบอกว่าแม่ไปอาบน้ำแป๊บเดียว เดี๋ยวจะกลับ ความรักที่นางมีต่อลูกทำให้นางถึงกับยกมือไหว้ขอร้องข้าพเจ้าได้

 

วันสองวันก่อน พ่อมีอาการดีขึ้น สามารถให้อาหารที่ช่องท้องได้ แต่เรี่ยวแรงยังไม่มี หายใจเองก็ยังไม่ได้ ขยับตัวเองก็ลำบาก แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะ ข้าพเจ้าจึงขอปลีกตัวบินกลับมหานครเพื่อทำการทำงานอีกครั้ง น่าแปลกว่าการอยู่เชียงใหม่ครั้งนี้แม้ว่าจะหอบงานไปนั่งทำที่ใต้อาคารเรียนรวมคณะแพทย์ทุกวัน ทำได้วันละไม่กี่ชั่วโมง แต่ได้งานเยอะดีแฮะ อาจเปนเพราะปลงชีวิตและคิดอะไรที่ไม่จำเปนน้อยลง เลยมีสมาธิมากขึ้น ก็นับว่าเปนเรื่องดี

 

บางทีไม่มีอะไรทำเปิดอ่านเว็บต่างๆ นานาไป เปิดพันทิปมีแต่เรื่องนาธาน ตลกดีเหมือนกัน สิ่งที่ได้เรียนรู้อีกอย่างจากการจับโกหกได้ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเปนเรื่องนาธานหรือน้องผู้หญิงอีกคนก่อนหน้านี้ มันสะท้อนให้เห็นล่ะว่าชื่อเสียงเกียรติยศ มันกินไม่ได้แต่ก็มีคนอยากไขว่คว้ามันเสมอ ยิ่งในวงการบันเทิง สิ่งเหล่านี้เหมือนเปนเครดิตที่จะต่อยอดให้สร้างผลประโยชน์จากมันยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งเหล่านั้นต้องการเวลาและความอดทนในการสร้างและบางทีมันก็ไม่ได้มาในชั่วข้ามคืน หลายครั้งที่มันต้องผ่านการทดสอบหลายด่านกว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จ บางคนขี้เกียจแต่อยากมีก็เลยเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาเองโดยไม่นึกว่าโลกสมัยนี้อะไร ๆ มันก็ตรวจสอบกันง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส พอเรื่องแดง วิมานในอากาศก็ทลายลงมาทับตัวเองให้บอบช้ำไป

ในมุมกลับกันเรื่องดาราโกหกตอแหลมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ต้องตามจองล้างจองผลาญกันขนาดนั้น ผู้เสียหายก็ออกมาทวงผลประโยชน์ที่เสียไปแล้ว และทุกอย่างก็คงจะดำเนินไปตามกฏหมาย ครั้นจะให้เขาออกมาขอโทษลองถามตัวเองดูว่าก่อนหน้านี้เราเดือดร้อนหรือเปล่าถ้าไม่ได้ไปรู้ว่าเขาโกหก สิ่งที่เราเดือดร้อนอยู่ เราก็เลือกได้นะที่จะไม่ไปเดือดร้อนกับมันก็ได้ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ยังคลุมเครือเหมือนจะรู้ ๆ ว่าความจริงเปนอะไรแต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงการกระทำ ง่าย ๆ ก็เรื่องใครยิงคุณสนธิ ลงหน้าหนึ่งทุกวัน นายกฯบอกว่าเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้

การวางเฉยบางทีก็เปนเรื่องดี เพราะคนปิดบังความจริงใช่ว่าจะมีความสุข เขาต้องหาเรื่องโกหกแก้ตัวไปเรื่อย ๆ นาน ๆ ก็เป็นทุกข์เพราะเรื่องโกหกมันก็พัวพันตัวเอง ก็เหมือนกับเปนโรคร้ายที่ลุกลามไปเรื่อย ๆ การรักษาคือการออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ หากเขาไม่ทำก็เหมือนเขาไม่รักษา แล้ววันหนึ่งความเจ็บป่วยนั้นอาจจะทำให้เขายอมรักษาหรือไม่ก็ตายตกไปตามกัน แต่สิ่งที่ต่างกันก็ระหว่างโรคปิดบังความจริงกับโรคภัยไข้เจ็บ คือโรคภัยไข้เจ็บยังมีหมอรักษาได้ แต่โรคปิดบังความจริง ต้องรักษาด้วยตัวเอง

ส่วนคนที่ไม่เปนโรคอะไร ก็อย่าไปป่วยใจด้วยโรคที่ใจเราอยากป่วยเอง

ขอให้ทุกคนแฮปปี้ในเดือน สิงหา พาเพลิน

แมวโพง เตรียมตัวทำงานใหญ่ แร้วววว

 

ผู้เสพติดกาม รีเทิร์น ตอน แมวเทา และเมียของเขา

ในคืนที่ฝนตกข้าพเจ้าละเลียดอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหงาหงอย

แม่ค้าหมูปิ้งบนบาทวิถีกำลังฝันถึงอนาคตของลูกชายวัยรุ่นที่กำลังจะเข้าเรียนในสายอาชีพปีนี้ แต่เมื่อสักครู่มันพึ่งพาแฟนสาวซิ่งมอเตอร์ไซค์ผ่านไป นางจึงกลับสู่ความเปนจริงเมื่อเสียงและลมที่ตีมาจากมอเตอร์ไซค์พัดเอาความฝันแตกกระจายไปกับควันหมูปิ้งที่ลอยกรุ่นนั้น

ยามหนุ่มกำลังฝันเห็นตัวเองในเครื่องแบบตำรวจยศจ่าสิบตรี เมื่อเขาเก็บเงินสมัครสอบเข้าโรงเรียนนายสิบได้ในปีหน้า แต่ค่าแรงวันนี้อาจจะถูกหักเมื่อเขาหลับตาและฝันถึงมันจริง ๆ

แม่บ้านที่กำลังถูพื้นในสุขาชายของห้างหรู ฝันถึงชีวิตเรียบง่ายในบ้านเล็ก ๆ ของตัวเองที่บ้านนอก เธอมีลูกที่รอที่จะยิ้มและสวมกอดเมื่อเธอกลับไป แต่ ณ ขณะนี้เธอเหมือนเปนอากาศธาตุอยู่ในสุขาที่มีผู้ชายทำธุระส่วนตัว (ขี้ – เยี่ยว) อยู่รอบข้าง

ความฝันเปนเรื่องโรแมนติคและดูเปนชนชั้นกลางมาก ๆ แต่จริงแล้วไม่ว่าชนชั้นฐานันดรใด ย่อมมีความฝัน เพราะมันหล่อเลี้ยงชีวิต บางคนฝันไปไกล บางคนฝันลม ๆ แล้ง ๆ เราไม่ควรดูแคลนฝันของคนอื่น เพราะหลายครั้งเราพบว่าคนเหล่านั้นอาจจะมองเห็นโอกาสที่เรามองไม่เห็น เพียงแต่เขายังไม่สามารถทำให้มันเปนจริงได้ในเวลานี้เท่านั้นเอง

ข้าพเจ้าเคยเห็นความฝันของน้องแมวเทา เคยเจิดจรัสเรืองรอง ตอนเด็ก ๆ เขาเคยบอกว่าความฝันอันสูงสุดของเขาคือการได้ไปเตะบอลในสนามศุภชลาศัย จำได้เท่านี้แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาบรรลุฝันนั้นไปหรือยัง นั่นไม่สำคัญเท่ากับการได้พบเขาอีกครั้งในวัย ยี่สิบต้น ๆ ในสภาพที่เมาพอสมควร อยู่ในศูนย์อาหารฟู้ดแลนด์ใกล้บ้าน

ความบังเอิญทำให้เราได้พบกันหลังจากที่ไม่ได้พบกันหลายปี ความกำยำแบบหนุ่มนักกีฬายังปรากฏเค้าของมันให้เห็นอยู่บ้างหากแต่ใบหน้าที่กร้านแววตาอมทุกข์กลิ้งอยู่ในแดงฉ่ำของฤทธิ์แอลกอฮอล์เจือจาง ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงมานั่งตรงนี้คนเดียว คนเรากินเหล้าควรมีเพื่อน การเมาคนเดียวคงมีอะไรไม่ปกติอยู่ในความหมาย…เขาหนีปัญหาหรือ…เขาปลีกวิเวกหรือ…เขาไม่วางใจใครสักคนในโลกให้ฟังความระทมของเขา จึงลงโทษตัวเองให้ความเหงาเฆี่ยนตีอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย

แมวเทาบอกประวัติการศึกษาของเขาว่าเรียนจบมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกับข้าพเจ้าแล้วก็เดินทางมาแสวงหาปริญญาบัตร ที่คณะนิติศาสตร์รามคำแหง จนแล้วจนรอดมหาวิทยาลัยเปิดคงจะเปิดประตูกว้างไปจนเขารู้สึกว่าจะอยู่ข้างในหรืออยู่ข้างนอกรั้ววิทยาเขตคงไม่มีอะไรต่างกัน นานไปก็รู้ว่ามันคงหมดเวลาสำหรับการศึกษาของเขาแล้วจึงทำงานเปนลูกจ้างในร้านตัดสติกเกอร์แถวห้างใหญ่ย่านลาดพร้าว 93 ชีวิตของเขาไม่ได้วนไปไกลจากอาณาเขตของข้าพเจ้าเลยหากแต่เราไม่เคยเจอกัน แต่ตอนนี้เขากำลังอยากจะหางานใหม่เพราะว่าแฟนของเขาประจำเดือนขาดมา 2 เดืิอนแล้ว

ข้าพเจ้าไม่รู้จะแนะนำอย่างไรก็เลยแสดงความยินดีไปตามมารยาท ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขาอยากจะได้ยินคือมีงานใหม่ที่เงินเดือนเยอะกว่ามาแนะนำ

"ผมพาเมียไปทำแท้งมาสองทีแล้ว" เขากล่าวเรียบ ๆ ในความเยือกเย็นของแอร์ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงใด

"ทำไม…ถึงไม่ป้องกัน" ป้องกันแล้ว ผมให้เมียกินยาคุมฉุกเฉินทุกครั้ง

ข้าพเจ้าใจหายยิ่งกว่าเดิมเมื่อใดยินคำนี้ เพราะรู้ถึงอานุภาพที่ร้ายกาจของยาคุมฉุกเฉินที่เขาเอาไว้กินเมื่อสตรีถูกข่มขืน หรือกรณีฉุกเฉินอื่น ๆ เท่านั้น

"แล้วทำไมเราถึงไม่ใส่ถุงให้เขาป้องกันแต่ฝ่ายเดียวได้ยังไง" แมวเทาเงียบไปเมื่อข้าพเจ้าเสียงเขียว

"ผมฝังมุก ใส่ถุงแล้วมันชอบแตก อีกอย่างเมียผมก็ชอบด้วย…" ข้าพเจ้าสำลักน้ำดื่มตรามิเนเร่ออกมาทั้งปากและจมูกยังไม่ทันหายใจดี แมวเทาก็นำเสนออีก

"พี่จะดูไหม" ว่าแล้วแมวหนุ่มก็เปิดของมันออกมาจากกางเกงบอลอย่างรวดเร็ว

"เฮ้ย…ไอ้เหี้ย…บ้าฤเปล่า …เออ ฝังแล้วมันแปลก ๆ จิงด้วยว่ะ เฮ้ยเก็บ ๆ " ข้าพเจ้าห้ามแต่ก็อยากดู และในที่สุดก็ได้ดูและก็สั่งให้เก็บก่อนที่คนอื่นจะมาร่วมกันดู

อวัยวะเพศของแมวหนุ่มดูไม่ต่างจากคนปกติเท่าไหร่ แต่มีก้อนเนื้อกลม ๆ อยู่ตรงกลางลำ เขาบอกว่ามันคือแก้วกลม ๆ ที่อยู่ปากขวดเหล้าฝรั่ง กรีดเนื้อบาง ๆแล้วก็เอาใส่ลงไป เย็บปิดแล้วรอให้แผลสมานกันดี มีความเชื่อว่าจะเพิ่มความหฤหรรษ์ในเพศรสแก่อิสตรี แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามีโอกาศที่ไอ้แก้วกลม ๆ นั่นจะทำให้เกิดบาดแผลมากกว่า

"แฟนตกขาว ด้วยฤเปล่า"

"ใช่เลยพี่ มีสีขาว ๆ แล้วมีกลิ่นเวลาเอากัน"

"ล้างน้ำออกฤไม่ ถ้าล้างไม่ออกมีสิทธิ์เปนเชื้อรานะ"

"…"เขาเงียบไป ควักโทรศัพท์ออกมาหมายจะโทรไปถามแต่ข้าพเจ้าบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขอคำปรึกษาจากข้าพเข้าเพราะไม่ใช่แพทย์ จึงแนะนำให้เขาพาแฟนไปหาหมอ

การทำแท้งตอนสามเดือนคือการเอาอะไรไปขูดตัวอ่อนที่ติดกับผนังมดลูกออก ทำครั้งเดียวก็สะบักสะบอมแล้วทำมาสองครั้งจะยับเยินขนาดไหน แล้วยังกินยาคุมฉุกเฉินเกือบทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ตอนนี้สภาพร่างกายเธอคงแย่เต็มแก่แล้วล่ะ

"ทำไมเราถึงไม่ป้องกันที่เราก่อน" ข้าพเจ้ากลับมาถามคำถามเดิม ดูเขาไม่ค่อยพอใจนักเมื่อรู้ว่าความผิดพลาดนั้นตัวเขาก็มีส่วนที่จะหลักเลี่ยงได้แต่เขากลับไม่ทำ

"มันไม่สนุก" แมวเทาตอบสั้น ๆ แต่ในแววตาเขาครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง บทสนทนาขาดไปนานแสนนานก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้านไปหาเมีย

ข้าพเจ้ามองเห็นเขาเดินไปยังถนนเพื่อที่จะกลับบ้านด้วยวิธีใดก็ไม่ทราบได้ ฝนหยุดตกแล้วถ้าบ้านเขาอยู่ใกล้เขาคงเดินไปถึงได้โดยไม่ลำบากแต่เมียของเขาคงจะรอนานหน่อย และก็ไม่รู้อีกว่าคืนนี้เขาจะได้สนุกกับเมียเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้

คำตอบง่าย ๆ ของความสนุกข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง เปนคำตอบที่เรียบง่ายและสะเทือนอารมณ์ที่สุด เราทุกคนที่เปนมนุษย์รู้ว่ากามเปนเรื่องสนุก กามเปนความสุขยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าเงินทอง ยิ่งกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งกว่ารสพระธรรม (ขอน้อมรับคำด่าที่จะตามมาหลังจากประโยคเมื่อสักครู่นี้) เราต้องยอมรับมันจริง ๆ ว่ามันทั้งหอมหวาน อร่อย มันชักนำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ มาบนโลกนี้มากมาย และที่น่ากลัวคือมันเปนอาหารที่กินแล้วไม่รู้จักอิ่ม ความน่ากลัวอันนี้แหละที่ทำให้ทุกศาสนาจึงกันมันออกจากวิถีทางแห่งธรรม

ความสุขในกามนำมาผลลัพท์มากมาย ไม่ว่าจะเปนมารหัวขน โรคติดต่อ โศกนาฏกรรม แต่เราก็ยังทำ มันเปนอะไรที่บ้านเราเรียกว่า "บาปหวาน" เราทุกคนต้องเคยลิ้มลองกันมาบ้างไม่มากก็น้อย และเราก็รู้ว่ามันอร่อยยังไง และมันตกนรกยังไง ใช่…ข้าพเจ้าเชื่อแหละว่าแม้แต่นักโทษประหาร หรือว่าเด็กอายุ 13 ที่ฆ่าข่มขืนเด็กอายุ 9 ขวบ มันก็รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ มันก็รู้หมดแหละว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บังเอิญว่า อะไรที่มันไม่ดี มันมีความยั่วยวนหอมหวานกว่าสิ่งดี ๆ แค่นั้นเอง

โรงเรียนสอนอะไรเรา ศาสนาสอนอะไรเรา ครอบครัวสอนอะไรเรา ทุกสถาบันสอนในสิ่งเดียวกันคืออะไรคือดีคือชั่ว แต่ไม่มีใครเคยบอกว่าเราจะอดทนต่อความเย้ายวนของมันได้อย่างไร และเมื่อมันสุดจะทนอะไรที่ทำให้เราป้องกันเหตุร้าย ๆ ที่จะตามมาได้ เราไม่สอนกันตรงนี้เพราะคำตอบง่าย ๆ เช่นกันนั่นคือ

"สิ่งเหล่านี้เปนสิ่งลามกอนาจาร เยาวชนควรหลีกให้ไกล"

เปนไปได้ยังไง เพราะสิ่งที่เค้าว่ามันลามก มันเกิดมาพร้อมกับเราทุกคน และมันก็อยู่ในใจเราทุกคน หรือคิดว่าไงกัน???

แมวโพง ผู้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่