เวลาบ่ายสามโมงกว่า ๆ ของวันนี้ ข้าพเจ้ากินมาม่าอยู่ ณ ปั๊ม ปตท โพธิ์ประทับช้าง
ที่เดินทางออกจากบ้านเมื่อตอนสิบโมง แม่ช่วยเอาของขึ้นรถก่อนออกมากอดกับแม่ แม่อวยพรให้เดินทางปลอดภัย เปนแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่จะออกจากบ้านไปไหนไม่ว่าใกล้หรือไกล แม่จะอวยพรให้โชคดีเดินทางปลอดภัย ให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตั้งใจเรียน อะไรซักอย่างขอให้ได้มีไดอาลอกออกจากปากของนาง ตอนเปนวัยรุ่นรู้สึกว่าแม่ยื้อเวลาที่ข้าพเจ้าจะออกจากบ้าน และเราก็จะรีบตัดบทให้นางรีบจบไดอาลอกนั้นเสียทีก่อนจะออกจากบ้านไปสู่โลกภายนอก
ครั้งนี้ข้าพเจ้า ฟังนางจนจบแล้วค่อยออกมา มองกระจกหลังก็เห็นแม่ยืนส่งอยู่จนรถโค้งลับสายตาไป ข้าพเจ้าหวังว่าน้องชายจะกลับมาถึงไม่ดึกนัก ไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียวนานเกินไป
ข้าพเจ้ารู้สึกผิดนิดหน่อยที่โกหกแม่ว่ามีเพื่อนเดินทางมาด้วย แต่ในความเปนจริงแล้วข้าเจ้าเดินทางคนเดียวที่ทำเปนเช่นนั้นเพราะเกรงว่าแม่จะเปนห่วง แล้วถ้าแม่เปนห่วงมาก ๆ คนที่เปนเพื่อนเดินทางจะกลายเปนแม่เสียเองแล้วตอนนั้นทุกอย่างจะไปกันใหญ่ เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าก็ชอบการเดินทางคนเดียวลำพังอยู่ไม่น้อย เพราะมันเปนจังหวะเวลาที่ได้ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสนุกดี ก็นึกขันอยู่ในใจเหมือนกันว่าตอนขาไปแห่กันไปเต็มลำรถขากลับกลายเปนกลับคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าที่แยกย้ายเดิยทางคนเดียว หากแต่ ติ๊ก ษมาวีร์ , พิช วิชญ์วิสิฐ , แมว จารุณี , ใหม่ เสาวลักษณ์ แวน และเอ็ม ถึงที่สุดก็เลือกทางเดินกลับตัวใครตัวมันไม่มีใครได้กลับด้วยกันซักคน อาจะเปนเพราะช่วงเวลาที่ได้เดินทางด้วยกันต่างคนต่างตักตวงความสุขจากกันพอแล้ว จากนั้นต้องแยกย้ายกันไปตกผลึก เพราะที่ว่าเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตนั้น จริง ๆ เราทำตามนั้นจริง ๆ กล่าวคือถกเถียงกันในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ที่มาของเรา ชีวิต โลก จักรวาล ชาตินี้ ภพหน้า สมาธิ ถึงขั้นเอาหนังสือคำสอนของท่าน ว. แลปราชญ์อื่น ๆ มาเปิดอ่านกันในรถเลยทีเดียว แต่ในที่สุดทุกเรื่องก็จะมาจบลงทีเรื่อง “ฉันเปลี่ยว แล สิ้นหวัง” ฤ ไม่ก็เรื่องเซกซ์อยู่เสมอ
บางประเด็นเช่น ตัวเรานี้เปนใครเราได้ทำบุญอันไดหนอถึงได้เวียนว่ายมาเกิดเปนตัวเราและได้มาภพกันในชาติปางนี้ แล้วทำไมเราจำไม่ได้เลยว่าชาติก่อนเรามีชีวิตแบบไหนแล้วเราเปนใคร กระนั้นแล้วในชาติหน้าผิว่าเราหาได้มีความทรงจำในชาตินี้อยู่เลย งั้นเราต้องเชื่อไหมว่าทำกรรมดีจะส่งผลดีในชาติหน้า เพราะในเมื่ออีตัวเราในชาติหน้ามันมันเสวยสุขอยู่แล้วเราจะมาทนลำบากอยู่ในตอนนี้ทำไม แล้วไอ้ที่เราลำบากในตอนนี้เพราะอีชาติที่แล้วมันเสือกทำระยำไว้ฉะนั้นหรือ เราก็ไม่เคยคิดไปโทษมัน แล้วเราควรทำอย่างไรต่อ คิดไปก็เหมือนเปนมารศาสนา แต่ก็ไม่ผิดที่จะคิดเพราะในที่สุดแล้วมันก็คือปรัชญา
ปรัชญาไม่ใช่ผู้กำกับหนังแลโปรดิวเซอร์ที่เปนเจ้านายของข้าพเจ้า หากแต่เปนสิ่งที่ถกเถียงกันไม่รู้สิ้น ถ้าอะไรก็ตามแต่มันมีคำตอบตายตัวมันคือสัจธรรม แล้วทำไมเราต้องมาเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นด้วย ทำไมเราต้องรู้ปรัชญา ก็เพราะปรัชญาคือวิชาที่ทำให้เราแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งสวยงามอะไรคืออัปลักษณ์ อะไรคือดีอะไรคือชั่ว อะไรสว่างอะไรคือมืด อะไรคือรักอะไรคือหลง ข้าพเจ้าขอบอกว่าเราควรได้ครุ่นคิดแลมีถกปรัชญากันบ้าง ไม่กับคนอื่นก็กับตัวเอง เพราะเราจะได้มองอะไรได้รอบด้านขึ้น
มนุษย์เรายุคหนึ่งเคยคิดว่าโลกแบนกันมาแล้ว เคยคิดว่าโลกเปนศูนย์กลางของจักรวาลกันมาแล้ว แต่ในที่สุดก็มีคนเปิดตาให้เราว่าแท้จริงแล้วเราเปนส่วนกระจ้อยจิดนักในเอกภพอันกว้างใหญ่นี้ หากวันนั้นเราไม่ยอมลดทิฐิของตนลงมามองจากมุมกว้างขึ้น ป่านนี้เราคงไม่ได้ไปไหนกันเพราะกลัวว่าออกไปไกลแล้วจะตกขอบโลกที่มีสัตว์ประหลาดรอกิน
กลับมาที่การเดินทางของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้เส้นทางลำปาง – เถิน ก่อนจะเลี้ยวซ้ายไปยังอำเภอทุ่งเสลี่ยมจังหวัดสุโขทัยเพื่อเลี่ยงเส้นทาง เถิน – ตาก – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ เพราะถนนกำลังก่อสร้าง ผุพังแย่มาก แลรถที่ตกค้างจากเทศกาลปีใหม่ยังหนาแน่นใช้ได้ เส้นทาง เถิน – ทุ่งเสลี่ยม – คีรีมาศ – วชิรบารมี เปนทางสายรองในระดับที่เรียกว่าลูกเมียน้อยคนที่ 5 ก็ว่าได้น้อยคนนักที่จะใช้ทางเส้นนี้เพราะเปนถนนสองเลนเชื่อมระหว่างอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หลายครั้งที่ใช้เส้นทางร่วมกับวัวควาย รถอีแต๋น รถไถ ฯลฯ แต่ข้าพเจ้าก็หาได้หวั่นเกรง รู้ทั้งรู้ว่ามันเปนทางอ้อม แต่ก็เลือกจะไปเพราะไม่ได้รีบไปไหนและการมาในถนนเส้นนี้ ก็เหมือนมาในถนนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้เราวิ่งเพราะหลายครั้งที่ถนนทั้งเส้นมีข้าพเจ้าขับรถอยู่คนเดียว บางทีก็เหยียบสุดคันเร่ง บางทีก็เปิดกระจกแล้วขับช้า ๆ ดูวิว บางทีก็แหกปากร้องเพลงไปตามเรื่อง ปวดฉี่ก็ลงไปเยี่ยวเลย พอเข้าชุมชนก็มองดูผู้คนเขาไปตลาด เขากลับจากโรงเรียน เขาแบกแหจะไปทอดที่ไหนกัน เขาอุ้มไก่จะไปไหน มองดูแล้วก็คิดไปเรื่อยเปื่อย เปนความสุขของการเดินทางอีกแบบ
ในขณะที่ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับถนนที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ก็มีป้ายเตือนสติเปนระยะ ๆ ว่านี่เปนถนนจากโครงการไทยเข้มแข็งนะไม่ใช่ถนนที่พ่อแม่แกสร้างไว้ แต่พอถัดมาอีกป้ายหนึ่งก็มีป้ายบอกว่าจริง ๆ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างหรอก ก่อนจะเปนไทยเข้มแข็ง เพื่อไทยเขาชงโครงการนี้ว่าไว้ก่อนแล้วตะหากย่ะ อย่าได้มาตู่ แต่ข้าพเจ้าหาได้แคร์ไม่ ไม่ว่าใครจะบอกว่าตนสร้างก็เอาเงินมาจากภาษีพ่อแม่ข้าพเจ้า รวมทั้งข้าพเจ้าเองทั้งนั้นแหละ ท่านทั้งหลาย
ถนน 117 เปนถนนเส้นที่เชื่อมระหว่างนครสวรรค์ พิจิตรแล กำแพงเพชร เปนถนนที่ตัดได้ตรงสะใจมาก มีป้ายเตือนเปนระยะว่าอย่าขับเร็วมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยค่าที่มันตรงแหนวแบบนี้ล่ะ ซิ่งกันลืมตาย ข้าพเจ้าแวะซื้อมันแกวยักษ์กับมะขามหวาน ยังไม่รู้จะเอาไปฝากใครแต่ซื้อไว้ก่อน ท่านทั้งหลายเคยเห็นร้านขายของริมทางไหม ที่จะขายของแบบเดียวกันเด๊ะแต่ตั้งห่าง ๆ กันเรียงรายไป ถ้าเปนทางไปแม่สายก็จะขาย สัปปะรดนางแล กับสะตอเบอรี่ ทางออกจากลำพูนก็ขายส้ม กำแพงเพชรขายผลิตภัณฑ์จากกล้วยนานา สุพรรณก็มีขนมสาลี สิงห์บุรีมีเค้กปลาช่อน ฯลฯ แอบคิดว่าร้านพวกนี้สงสัยเปนเจ้าของเดียวกัน ดูจากโปรดักค์ และดิสเพลย์ของร้านเหมือนกันเด๊ะ แล้วการวางร้านแบบเรียงรายกันไปแบบนี้ได้ผลนะ เพราะด้วยหลักทางจิตวิทยาแล้วมันเปนแบบนี้
ร้านที่1 ฟิ้ว…. “เฮ้ย ขายอะไรวะ”
ร้านที่ 2 ฟิ้ว…. “อ๋อ เค้าขายมันแกวยักษ์”
ร้านที่ 3 ฟิ้ว…. “มีเยอะแฮะสงสัยเปนของดีที่นี่”
ร้านที่ 4-5-6 มีรถจอดซื้ออยู่บ้างซักร้าน “เอ…หรือของเค้าจะดีจริง ถ้าหากเราไม่ซื้อกลับไป เราจะเหมือนมาไม่ถึงที่นี่รึเปล่าหนอ… แต่ไม่…เราเปนคนเก๋ ต้องไม่ตามกระแส”
ร้านที่ 7 ฟิ้ว…. “ไม่…ไม่นะ คนเก๋อย่างเราฤจะซื้อของบ้านๆ แบบนี้”
ร้านที่ 8 ฟิ้ว…. “แต่ซื้อไว้ก็ดีนะ เผื่อคนที่เรารักเราชอบ ที่ไม่ได้เก๋เหมือนเรา”
ร้านที่ 9 ฟิ้ว…. “ไม่…ถ้าเราซื้อไปฝากเค้า เค้าต้องมองเราว่าเปนคนไม่เก๋ ตื้นเขิน รากหญ้า ดูหนังพากษ์ไทย หรือไม่ก็หนังโก๊ะตี๋ ต่อไปนี้เพลย์กราวด์ทองหล่อ หรือ เจ อเฟนิว จะเขาหน้าแกขึ้นป้ายห้ามเข้า”
ร้านที่ 10 ฟิ้ว…. “แต่…มันแกวมันก็หวานดีนะ กรอบ ๆ ฉ่ำๆ”
ร้านที่ 11-15 ใช้เวลาเถียงกับตัวเองพักใหญ่
ร้านสุดท้าย เอี๊ยดดด…. “พี่ ๆ มันแกวขายยังไง”
คนขายยิ้มละไมให้ข้าพเจ้า ไม่นานมันแกวยักษ์ขนาดเท่าหัวคนหรือใหญ่กว่ากับมะขามที่ไม่รู้ว่าหวานหรือเปล่าแต่อยู่ในแพคเกจสวยระดับโอทอป ก็ได้มาเปนเพื่อนร่วมทางกับ แคบหมูทั้งไร้มันและติดมัน น้ำพริกหนุ่ม น้ำผึ้งเดือนหน้า ส้มธนาธร กระยาสาทร กล้วยกวน แลผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่ไม่มีขายในอเฟนิว และร่วมทางกันต่อไป
ข้าพเจ้าใช้ปั๊มปตท โพธิ์ประทับช้าง เปนจุดพักรถก่อนจะเดินทางต่อ ซื้อมาม่ามากินรองท้องกะว่าจะเข้าไปรับประทานมื้อเย็นที่กรุงเทพเลยทีเดียว ระหว่างที่ซดบะหมี่อยู่นั้นก็สังเกตคนที่จอดรถลงมาพัก บ้างก็เปนครอบครัว บ้างก็เปนรถตู้ที่มากันเปนหมู่คณะทัวร์ บ้างก็เปนญาติธรรม มาทั้งสมณะเพศ แลฆราวาส มองเขามาเปนคณะแล้วก็สะท้อนใจนั่งกินมาม่าคนเดียว นั่นเด็กแว๊นส่งสายตามาให้ยิ้มตอบไปหน่อยแล้วเขาก็เดินมาหา คิดว่าจะคุยอะไรกับเขาดียังคิดไม่ทันออกเขาก็เดินเลยไปหาสก๊อยนางหนึ่งที่อยู่ด้านหลังข้าพเจ้า แต่งหน้าจัดเชียว คงจะมาแวะเซเว่นซื้อถุงยางไปเอากัน ชิส์… มาม่าที่กินอยู่เปรี้ยวขึ้นมา แทนที่องุ่นเปรี้ยว
ด้านซ้ายของข้าพเจ้ารถกระบะดีแมกซ์สองตอนพุ่งเข้ามาจอด คนขับเปนชายฉกรรจ์ ลงมาปิดประตูปังแล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ ส่วนด้านคนขับหญิงคนหนึ่งลงมาแลตรงไปยังแผงขายมะม่วงแลผลไม้ดอง รองเท้าก็ไม่ใส่ ไม่นานก็มีเด็กน้อยโผเผออกมาจากเบาะหลังพอมองเห็นเซเว่นก็ตะกายออกจากรถและวิ่งเข้าไป รองเท้าก็ไม่ใส่เหมือนแม่ของเขา เปนเด็กชายวัยประมาณ 5-6 ขวบ เรียกได้ว่าวัยกำลังซน ไม่นานชายฉกรรจ์ที่ควรจะเปนพ่อของเด็กนั่นก็กลับมาที่รถพอไม่เจอเมียก็หน้างอ มองไปที่รถขายผลไม้ นังเมียก็กำลังต่อราคาอยู่หรืออย่างไรไม่ทราบ พอหันมาเห็นผัวหน้างอในรถนางก็รีบกระวีกระวาดรับผลไม้มาแล้วก็กระโจนขึ้นรถ ผัวก็กระชากรถออกไป ข้าพเจ้าคิดในใจว่าฝูงเขาจะรีบไปไหนกันหนอ แต่…เอ๊ะ… ลูกล่ะ หรือน้องนั่นขึ้นรถไปแล้วตอนที่ข้าพเจ้ามองน้องเด็กเทคนิคคนนั้น หรือตอนที่มองพี่คนขับรถสิบล้อคนนี้ หรือ…
ยังไม่ทันจะหรือ…เด็กน้อยก็วิ่งออกมา คงหมายจะกลับมาอ้อนแม่ให้ซื้อขนาดให้แต่พอไม่เจอรถ เด็กน้อยเริ่มมองหาด้วยแววตากังวลขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจะเข้าไปบอกก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หากน้องเค้ายังไม่คิดว่าพ่อแม่เขาทิ้งไป บอกแล้วมาร้องไห้ที่เราก็ซวยล่ะสิทีนี้ แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางเบะปากแล้วก็ร้องไห้ออกมาทันที ผู้คนที่เดินเหิรกันอยู่ในนั้นต่างหันมามองอย่างสงสัย ด้วยความที่เด็กอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าที่ สวมแว่นกันแดด ย้อมผมแดง ไม่แต่งหน้า แต่งตัวน้อยชิ้น ดูเหมือนแกงค์ลักเด็ก หรือไม่ก็พวกหลอกเด็กไปชักว่าวในรถตู้แล้วอัดมาลงแผ่นแบบหนังญี่ปุ่น ข้าพเจ้าจึงตกเปนเป้าสายตาที่สองของฉากนั้นไปทันที
ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป พนักงานเซเว่นสาวก็เดินมาหาเด็กพร้อมเอ่ยด้วยเสียงเหน่อ ๆ
พนักงานเซเว่น “โอ๋ ๆ ๆ หนู่เปนอะไร พ่อแม่ไปไหน”
เด็ก “ฮือ ๆ ๆ ณฯญ๊ํ๗ฑู฿ธโธฏูฑฑธํโฮ์?ศ๊ญ” (ร้องไห้สะอึกสะอื้น จับความไม่ได้)
ข้าพเจ้า “พ่อแม่เค้าลืมไว้น่ะครับ สงสัยไม่รู้ว่าน้องลงมา”
ข้าพเจ้าช่วยได้เท่าที่ช่วยจากนั้นรถตำรวจก็ปราดเข้ามา เปนรถนิสสันรุ่นใหม่ที่เปน SUV มีสติ๊กเกอร์แปะไว้หน้ากระจกว่า “สืบสวนที่เกิดเหตุ” ข้าพเจ้าเพ่งมองข้างในก็พบว่าเปนตำรวจจริงไม่ใช่ดาราที่เอารถตัวเองแอ๊บทำรถตำรวจแต่อย่างใด ตำรวจมาแวะเซเว่นพอดี พนักงานจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคนในเครื่องแบบที่ดูน่าไว้ใจกว่าข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็พบว่านี่มันสี่โมงแล้ว ควรออกเดินทาง แล้วข้าพเจ้าก็ทิ้งปั๊มน้ำมัน ปตท โพธิ์ประทับช้าง เด็กน้อย ตำรวจสอบสวนและพนักงานเซเว่นไว้เบื้องหลัง
ขับรถล่องไปก็มองดูว่าจะมีรถดีแมกซ์ขับตะบึงห้อสวนขึ้นมาหรือเปล่า แต่ดีแมกซ์เยอะเหลือเกินเลยคิดว่าหนึ่งในนั้นคงเปนพ่อแม่เด็กแน่ ๆ ไม่นานน้องก็จะได้กลับคืนอ้อมอกของครอบครัวอันเปนที่รัก แต่เหตุการณ์นี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปแบบไหนหนอ น้องเด็กจะจำเปนบาดแผลในใจว่าโดนทิ้งหรือจะลืมมันไป ผัวเมียเขาจะทะเลาะกันแล้วใครจะโทษใครที่ต่างคนต่างลงไม่ดูลูกว่าก็ลงไปด้วย อันนี้ก็ไม่รู้ แต่ถ้าเวลาผ่านไปเรื่องพวกนี้ก็จะกลายเปนเรื่องขำในชีวิต
มีบ่อยไปที่ข้าพเจ้าเคยเดินจูงมือใครก็ไม่รู้ไปในตลาดอยู่นานสองนาน เงยหน้าขึ้นดูกลับไม่ใช่แม่ของตน สตรีนางนั้นก็ตกใจว่านี่ก็ไม่ใช่ลูกตน แต่ไม่นานแม่ของข้าพเจ้าก็มาพบและนางก็พบลูกตัวเองร้องไห้อยู่หน้าร้านขายของหวาน มีอยู่ทีนึงที่ไปทัวร์กันหลายครอบครัวแล้วก็ขึ้นรถทัวร์ผิด นั่งไปได้นานสองนานก็พึ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่รถตน พ่อแม่พี่น้องกูหายไปไหน ญาติมิตรหายเกลี้ยง นั่งรถไปกับคนแปลกหน้าล้วน ๆ แล้วคนเหล่านั้นก็คิดว่าข้าพเจ้าคงเปนลูกหลานใครสักคนในคนนั้นเลยไม่เอะใจ จวบจนข้าพเจ้าเริ่มเดินพล่านแล้วร้องไห้ออกมา ผู้คนจึงเริ่มให้ความสำคัญและในที่สุดรถของทัวร์ข้าพเจ้าก็ตามาเจอแล้วรับตัวข้าพเจ้าไปโชคดีที่รถไปทางเดียวกัน หาไม่แล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเปนยังไง คงไม่ร้ายแรงอะไรมาก ผู้ใหญ่คงจัดการให้
พูดถึงการเปนเด็กก็ดีไปอีกแบบ เมื่อทำอะไรไม่ได้คิดอะไรไม่ออกพบกับทางตัน ก็ร้องไห้ออกมาซะ เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็จะจัดการให้ บางทีโตแล้วบางทีก็อยากทำแบบนั้นบ้าง อะไรไม่ได้ดังใจในกองถ่ายก็ร้องไห้ลงไปนอนกลิ้งหมุนติ้ว ๆ ๆ ให้ทีมงาน ดารา ตัวประกอบเห็นใจแล้วในที่สุดก็จะมีคนตามใจให้ได้กระนั้น เห็นที่จะเปนไปไม่ได้ จะลองทำก็ได้แต่ผลลัพท์อาจจะไม่เปนไปตามประสงค์
คนเราใช้เวลาเท่าไหร่กันหนอ กว่าจะรู้ว่าทุกสิ่งมันไม่สามารถเปนไปดังหวัง ทุกสิ่งไม่ได้หมุนรอบตัวเรา ทุกสิ่งไม่สามารถได้มาด้วยการง้ำปากกระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ จะเอาจะเอา…ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนตามตรงว่าจำไม่ได้จริง ๆ รู้แต่ว่าผ่านมาหลายความผิดหวังเหมือนกันกว่าจะทรนงได้แบบนี้
เวลาประมาณห้าโมงเย็น ข้าพเจ้าเลี้ยวผิด เข้าใจว่าทางไปสุพรรณนั้นเลี้ยงตรงอุทัยก็ได้ แต่พอเลี้ยวไปแล้วก็ไปได้เหมือนกันแต่…อ้อมโคตร กดถามขวัญใจ (จีพีเอส) ขวัญใจก้ได้แต่ตอบเสียงเย็น ๆ ว่าให้กลับรถอยู่นั้น ข้าพเจ้าคำรามด่าขวัญใจว่าอีควาย กูไม่ได้อยากกลับไปทางนั้น แล้วจึงให้นางหุบปากเสีย ด้วยทิฐิมานะที่ไม่อยากกลับรถไปทางเก่า ทำให้ข้าพเจ้าต้องขับอ้อมยิ่งกว่าเดิม ไปทาง อุทัย – ชัยนาท – สุพรรณ – บางบัวทอง แต่ก็ปลอบใจว่าอย่างน้อยขับผ่านวิทยาลัยเทคนิคอุทัยธานี ก็มีน้อง ๆ ยิ้มให้บ้างอะไรบ้างเปนสิ่งชุ่มฉ่ำที่พบได้รายทาง
ขณะที่ขับมาจากสุพรรณบุรีมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนวงแหวน วูบหนึ่งในความมืดข้าพเจ้าคิดว่ามันช่างเปนเวลาที่ไม่รู้จบจริง ๆ เราต้องขับรถฝ่าความมืดไปอีกถึงไหน รถไม่ใช่จะน้อย ปวดตีนด้วย ถึงแม้จะใช้ cruise control บ้างแต่รถต่างผุดมาจากซอยบ้างยูเทอร์นบ้าง เปลี่ยนเลนบ้าง ทำให้ต้องแตะเบรคบ่อย ๆ ไม่สามารถพักตีนได้เกินนาทีสองนาทีเลยให้ตายสิ ความคิดที่จะนวดตีนเกิดขึ้น วางแผนว่าจะไปนวดตีนแถวๆ อิมแพค แถวนั้นพอจะมีร้านอยู่บ้าง เคยเห็น ถ้าเรามุ่งหน้าทางแครายก็น่าจะผ่าน
แล้วข้าพเจ้าก็เลี้ยวผิด อีกรอบคราวนี้ขึ้นทางด่วนไม่ได้ผ่านอิมแพคเมืองทองใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไป เปนที่ไหนดี ในที่สุดก็เปนสีลม ย่านโลกีย์อมตะ ถึงสีลมจอดรถแสนแพงเมื่อยตีนมาก เดินมองหาป้ายรูปตีนใหญ่ ๆ อันเปนสัญลักษณ์บอกว่าที่นี่มีนวดฝ่าเท้า ในวันนี้ทำไมหายากจัง ในที่สุดก็นวดที่ร้านช้าง ๆ อะไรก็ไม่รู้ เมื่อยมากเห็นป้ายตีนแล้วแทบอยากลงไปกราบตีนอันนั้นจริง ๆ ในที่สุดก็ได้นวด…สบายตีน
กลับบ้าน ไขประตูเข้าไป ของเกลื่อน ขนสีขาว ๆ ของน้องอีฟร่วงเปนกระจุก ๆ กระจายเต็มห้อง ซีดีหล่นลงมากระจายกับพื้น ทรายแมวเกลือนอยู่ทั่วไปบนพื้นห้อง ข้าวของไม่ได้อยู่ในที่ของมัน ห้องน้ำ กระบะทรายแมวมาอยู่กลางส้วมเลย อาหารสดก็ส่งกลิ่นที่เริ่มจะเน่า อยากจะกรี๊ด สองที กรี๊ดอันแรก ใส่หน้าน้องแตม เด็กส่งข้าวที่อุส่าไว้ใจ แต่พอนึกได้ว่าแมวกูก็ดูสุขภาพดีอ้วนพีผ่องใส ก็ใจเย็นลงหน่อยเปลี่ยนจากกรี๊ดเปนตบหน้าแทน เพราะน้องแตมไม่ได้โกยขี้แมวออกจากกระบะเลย อ้างว่าชักโครกเสีย น้องก็เลยเอาทรายเททับลงไปเรื่อย ๆ แต่พอทรายยิ่งเยอะแมวยิ่งตะกุยออกมาผลคือเกลื่อนกล่นไปทั่วทั้งห้อง กรี๊ดที่สองคือกรี๊ดใส่หน้าอีพี่สาวตัวดี นางมาแล้วก็คอยบ่นคอยฟ้องว่าน้องแตมไม่ได้ให้ข้าวแมวบ้าง น้องแตมไม่ให้น้ำ น้องแตมไม่กวาดขี้ น้องแตมไม่กวาดบ้านบลา ๆ ๆ แต่ทั้งหมดนั้น นางโทรมาบอกเฉย ๆ แต่ไม่ได้ทำอะไร บ้านที่น้องแตมไม่ได้กวาดนางก็ปล่อยให้เปนแบบนั้น และแมวนางก็อยู่ที่บ้านเราด้วย สุดท้าย ไม่ว่าอยากจะกรี๊ดใส่หน้าใคร ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลง ๆ บรรจงกวาดบ้าน เก็บขี้แมวเก็บขนแมว ทำให้พอเปนเหมือนเดิม นึกถึงตอนกลางวันโทรไปบอกพี่สร้อย แม่บ้านให้มาทำความสะอาด นางกลับร้องไห้เสียงสั่นเครือกลับมา บอกว่าขอเปนพรุ่งนี้เพราะพึ่งเสร็จจากศพพี่สาวของนางที่พึ่งผูกคอตายไป ข้าพเจ้าก็ได้แต่แสดงความเสียใจ แล้วรอพรุ่งนี้ให้พี่สร้อยมาทำความสะอาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อยเหมาะแก่การอยู่อาศัยบ้าง ถ้าพี่สร้อยยังไม่มา ข้าพเจ้าเห็นทีจะผูกคอตายตามไปด้วยคนเปนแน่แท้ ทนบ้านรกไม่ไหวจริง ๆ
จบบันทึกวันเปลี่ยนของข้าพเจ้าแต่เพียงเท่านี้ แลขอให้ทุกคนมีบ้านที่สะอาดมีห้องหับที่น่าอยู่ถูกหลักอนามัย
แมวโพง รักความสะอาด
ปล. สวัสดีปีใหม่ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ปีนี้จะพยายามอัพสเปศให้บ่อยขึ้นน้า