บันทึกโสภี 3/2012 สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอ

 

นอนอยู่ในโรงแรมเชียงดาวอินน์ เปนโรงแรมเล็ก ๆ ในเมืองทางผ่านอย่างเชียงดาว ที่นี่ไม่มีอะไรมากนอกจากดอยหลวงที่งามจับใจ และขาหมูแสนอร่อย

 

มาหาโลเกชั่นที่นี่ตั้งแต่เดือน พย ตอนนั้นท้องทุ่งที่นี่เหลืองอร่ามด้วยข้าวที่รอเก็บเกี่ยว หากฟ้าเปิดมีแสงแดดส่องในองศาที่เหมาะสม ภาพที่ออกมาคงเปนท้องทุ่งเหลืองทองที่มีดอยหลวงเชียงดาวยืนตะหง่านเปนฉากหลังแลดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป ทั้งหมดนี้งดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่ตอนนี้เปนฤดูการไถหว่าน ท้องทุ่งเลยเต็มไปด้วยโคลนเลน แลข้าวกล้าต้นอ่อน หากจะให้นักแสดงลงไปวิ่งเตลิดอยู่ในทุ่งเพื่อให้ได้ภาพอย่างที่คิด คงจะจมปลักทุลักทุเลชอบกล แลต้นกล้าก็จะถูกเหยียบย่ำหมดโอกาสเติบโต บาปกรรม

 

เมื่อวานเราไปถ่ายหนังกันเปนกองใหญ่นับร้อยชีวิต แต่วันนี้เหลือกันแค่กองเล็ก ๆ ไม่ถึง 20 คน มีแค่ พี่บอย ตากล้อง, จุ๋ม โฟกัส, พี่เหมียว โปรดิวซ์, รถเมล์ ผจก, ป๊อปปี้ ผู้ช่วย, เบนซ์ นักแสดง, ปูน นักแสดง, ต้อง ช่างไฟ, น้าวี รถตู้. แล้วก็มีทีมกล้องของวี มาอีก และกริป กับ นักแสดงที่ตามมาอีกสองคน แล้วหนังเรื่องนี้ก็จะปิดกล้องลงอย่างสมบูรณ์พูนสุข

 

ถ้าติดตามกันมาก็จะพบว่าเราถ่ายกันข้ามปี ด้วยวิบากกรรมอะไรก็ไม่รู้ ตอนถ่ายช่วงนี้ฝนก็ตกทุกวันทุกคืน จนทำลายฉากสำคัญของเราไป แถมจะถ่ายกันต่อ น้ำก็ท่วมจนทุกอย่างพังพินาศไปหมดสิ้น เราต้องรอกันข้ามปีกว่าจะมั่นใจมาถ่ายกันตอนนี้ ระหว่างที่รอก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขียนบท แก้บทจากที่ถ่ายไปทั้งหมดและก็มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาถ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนใหญ่ที่เพิ่มมาก็มาถ่ายที่เชียงดาวเนี่ยแหละ เปนเรื่องของอะไรยังบอกไม่ได้ต้องตามไปดูในหนังกันเองเน่อ

 

เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเปนเพราะวิบากกรรม เปนเพราะชง เปนเพราะชะตากรรมเฮงซวย แต่พอมาวันนี้ หลังจากที่เริ่มถ่ายทำกันใหม่ เราพบว่าโลเกชั่นใหม่ที่เราได้ สวยกว่าอันเก่าที่พังไป แสงสีและบรรยากาศ ณ เวลานี้ ก็สวย และโชคดีที่เราไม่ตัดสินใจประหยัดงบเซทหลอกกันที่ กทม เพราะตอนนี้ได้ยินมาว่าฝนตกกระหน่ำที่นั่นทุกวัน

 

สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว มันดีเสมอ หรือมันไม่ดีในเวลานี้ มันก็คงจะพาเราไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ที่อาจจะยังมาไม่ถึง

 

และฉันก็หวังว่าพรุ่งนี้มันจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้างล่ะ

 

ราตรีสวัสดิ์ ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาก

 

แมวโพง หมั่นเพียร

บันทึกโสภี 2/2012

จู่ๆ ที่นี่ก็อากาศเย็นลง และฟ้าก็ใสแจ่ม ตื่นมาด้วยเสียงซู่ซ่าของลมพัดยอดไม้ไหวเอน ดอกอะไรไม่รู้สีม่วง ๆ ตรงหน้าต่างห้องปลิดปลิวหล่นคว้างไปตามแรงลม ฉันมองดูยอดไม้สีเขียวกับดอกสีม่วงนั้นโอนเอนไปมาอยู่เนิ่นนาน สีของมันตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มอย่างลงตัว หยิบกล้อง iPhone4 มาถ่าย ภาพไม่ออกมาดังตาเห็น

ไปกินข้าวกลางวันกับแม่เม้ากันหลายอย่าง เรื่องมาตั้งต้นงานใหม่ที่นี่ ลู่ทางอะไรก็เริ่มมี คนเริ่มหาได้ ทุนก็หาได้ เพียงแต่ต้องการเวลามาทำมันให้เต็มที่ แต่ก็ยังมีพันธะพัวพันอยู่ที่กทม เราพูดกันอีกหลายอย่างเรื่องทรัพย์สินที่มี จะซื้อนั่นลงทุนนี่ แต่อย่างว่าพอกินข้าวจบต่างคนก็แยกไปทำงานของตัวเอง ทั้งที่เปนวันอาทิตย์

รอคุยงานกับเบียร์ก็นัดเจอพี่ติ๊กที่โรบินสัน ระหว่างรอเจอนางก็หาหนังสืออ่าน พยายามหา “โลท์โนเวล” ที่มีคนแนะนำมาใน FB วันก่อนแต่ก็หาไม่ได้ไม่รู้ว่ามันเปนแบบไหนส่วนใหญ่ที่หน้าปกการ์ตูน ๆ ก็จะเปนนิยายวัยรุ่นหรือไม่ก็การ์ตูนไปเลย ถ้าใครรู้จักไลท์โนเวลดีๆ ก็แนะนำมาหน่อยเน่อ มีขายที่ไหนเรื่องอะไรสนุก

บนแผงหนังสือพวกนิยายเพ้อฝันยังขายดี วัยรุ่นนั่งอ่านกับพื้นเปนเรื่องเปนราว บางคนก็ยืนๆ เม้ากันอย่างออกรส เนื้อหาของนิยายถ้าไม่ใข่แฟนตาซี ก็สืบสวนฆาตรกรรม หรือไม่ก็รักหวานแหววเพ้อเจ้อ พวกนี้เหมือนจะขายดี ไม่ว่ายุคสมัยใดเด็ก ๆ ก็ชอบจินตนาการ แต่พอโตมาจินตนาการของคนเรามันหายไปไหนหมด

เคยเถียงกับหุ้นส่วนว่าคนไทยยังไงต้องการดูหนังหลากหลายนะไม่ใช่ว่าเขาอยากจะดูหนังรักอย่างเดียว หนังแฟนตาซีวิทยาศาสตร์เขาก็ดูได้หมดถ้าเราทำมันดีๆ ดูแล้วเชื่อคนดูก็พร้อมจะไปกับเรา อีกฝ่ายก็บอกว่าคนไทยกับหนังแฟนตาซีไทยไม่เคยเวิร์คเลย เพราะคนไทยไม่เชื่อในแฟนตาซีและวิทยาศาสตร์ เราก็ยืนยันว่าไม่เชื่อเพราะไม่ลงทุนทำออกมาห่วย บทมันไม่จูงใจให้น่าเชื่อถือ งานสร้างก็ไม่แนบเนียนจะไปเชื่อได้อย่างไร ทางนั้นก็ยืนยันว่าคนไทยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ในกมลสันดานอยู่แล้ว กลายเปนคำถามโลกแตกไป แต่สุดท้ายก็ต้องทำหนังรัก ตลก ผี กันอยู่ดีเพราะมีทุนรอนสร้างกันอยู่แค่นั้นจริงๆ จบข่าว

เขาว่าปี 2012 โลกจะแตก แต่ข้าพเจ้าคิดว่า 2012 นี่น่าจะเปนกาลอวสานอีกยุคหนึ่งของหนังไทย เพราะทุกคนทุกค่าย ทำกันมาเหลือเกินหนังรักเนี่ย จะโรแมนติคกันไปไหน คือมันลงทุนน้อยและได้กำไรเยอะ จากผลความสำเร็จของหนังเอาใจสาวออฟฟิศที่ผ่านมาทุกคนก็ทำหนังเอาใจสาวออฟฟิศกันหมดเลย รวมไปถึงค่ายของข้าพเจ้าด้วยเดี๋ยวเรามารอดูกันว่าจะเปนยังไงจะเหมือนยุคกระโปรงบานขาสั้น น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ หรือเปล่าก็ไม่รู้แต่ยังไม่กล้าพนัน

เพราะสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยนั้น สมัยนี้คนถูกตั้งโปรแกรมรสนิยมไว้แล้ว คือดูอะไรตามๆกันเค้าว่านี่ดี ก็ดี อันนี้สนุกก็สนุก อันนี้โดน ก็โดน เคยประหลาดใจว่ามีตัวอย่างหนังเรื่องหนึ่ง ไม่ได้บอกเรื่องราวอะไรเลย มีแต่ภาพของความโรแมนติค หลายคนดูตัวอย่างจบแล้วก็รำพึงออกมา “น่าดูจังเลย” ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร ข้าพเจ้าเคยเรียนมาว่าการดูหนังก็เหมือนการหลบหนีความจริงเข้าไปมีความสุขชั่วคราวในโรงแล้วก็ออกมาเผชิญกับความจริงกันต่อ

ปรากฏการณ์ที่คนไทยคลั่งหนังรักโรแมนติคเนี่ย มันแปลว่าความจริงสังคมไทยเรามันขาดความรักความโรแมนติคขนาดนั้นเลยเหรอ เราต้องพึ่งพาความรักสังเคราะห์กันขนาดนั้น พูดถึงการสังเคราะห์ความรัก บางทีเราอาจจะชินกับมันจนไม่รู้ตัวก็ได้ในสังคมนี้ เราจึงโหยหามัน ทั้งในเพลง หนัง บทกวี ละคร เรื่องแต่ง ฯลฯ…

พวกมึงเปนบ้าอะไรกัน…

คุยเรื่องงานเสร็จก็เลือกจะเข้าไปหลบหนีความจริงในโรงภาพยนตร์กับเขาบ้าง เลือกหนังเรื่อง The Darkest Hours ในระบบ Digital 3D เอาให้คมชัดสะใจทั้งภาพและเสียงกันไปข้างนึง

ตัวหนังไม่ได้ทำให้ผิดหวังเท่าไหร่ มีการดำเนินเรื่องตามสูตรเดิมๆ แต่ก็ไม่ถึงกับดูไม่สนุก ดูได้เรื่อยๆเพลิน ๆ โปรดัคชั่นดีไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ไปมากกว่าในตัวอย่าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นหลังเอเลี่ยนบุกโลกอย่าง skyline ที่ชอตเด็ดมาอยู่ในตัวอย่างหมดแล้วทำให้หนังเลยดูง่วงเหงาหาวเรอ

แต่ที่น่าผิดหวังคือการดูหนังในระบบ 3D ภาพมันจะมืดลงประมาณ 35-40% แล้วนี่เปนหนังที่กลางคืนเยอะเลยทำให้ต้องเพ่งมากกว่าเดิม และการที่ต้องคอยปรับโฟกัสตาตัวเองกับภาพในจอทำให้สมาธิหลุดออกจากหนังบ่อยๆ ทำให้ดูหนังไม่อิน โดยเฉพาะการดูหนังแบบข้าพเจ้าที่กวาดตามองไปทั้งเฟรม พอหลุดจากโฟกัสก็เห้นภาพซ้อน ซึ่งไม่ดีเลย ดังนั้นขออนุญาตไม่ปลื้มกับ 3D ต่อไป

เรื่องเสียง เชื่อว่าถ้าไปดูเรื่องนี้ใน Vista1 -2 จะได้เสียงที่กระหึ่มกว่านี้เพราะเขาเปน THX นึกแล้วยังเสียดายโรง SDDR ของวิสต้า 12 ห้วยแก้วที่ปิดไปอย่างน่าเศร้า อันนั้นเสียงอลังการจริงแต่จอเขาเก่า อยากเขียนจดหมายไปหาคุณทอมมี่ ว่าปรับปรุงใหม่อีกครั้งให้เปนโรงดิจิตอล โปรโมทเรื่องระบบเสียงและราคาที่ไม่แพงเว่อร์ คนน่าจะกลับมานิยมอีกเชื่อว่าอย่างนั้น

น่าผิดหวังอีกอย่างคือไปดูหนังกัน 2 คนหมดไป 380 รวมป๊อปคอร์นกับน้ำอีก 179 รวมเปนห้าร้อยกว่าๆ สำหรับข้าพเจ้าถือว่าแพง…แพงเกินไปบ้าไปแล้ว มาถึงจุดนี้ก็เข้าใจคนดูหนังแหละ ว่าเสียเงินทั้งทีก็ต้องดูอะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขคุ้มกับเงินที่เสียไป ไม่ต้องคิดอะไรมากมาดูหนังไม่ต้องใช้สมอง ใช้สมองต้องไปโรงเรียน มาโรงหนังทำไมกัน

นั่นน่ะสินะ

แมวโพง ชอบดูหนัง

By jmdeo2011 เขียนใน Diary

5 สิ่งที่ถ้ามีลูกจะไม่ให้ทำ

20120115-103852.jpg

วันนี้วันเด็ก เห็นเขาอุ้มลูกจูงหลานกันไปไหนต่อไหนก็แอบอยากมีบ้าง บางทีก็แอบคิดว่ามีขึ้นมาจริงๆแล้วกูจะเปนพ่อหรือแม่ที่ดีได้ไหมหนอ เคยไปดูหมอเค้าบอกว่าดวงอย่างแมวโพงเปนพ่อคนได้นะ แล้วก็จะเปนพ่อที่ดีด้วยแบบป้าตุ่ม ชลิต เฟื่องอารมณ์

วันก่อนแม่ก็ปรารภขึ้นมาว่าอาจารย์ยิ่งศักดิ์ แกเปนกระเทยขนาดนั้นยังมีลูกเมียได้เลย

วันนี้…ไปงานแต่งงาน น้องญาติ นั่งข้างป้าที่เหมือนจะความจำสั้นหรือความจำเสื่อม เพราะถามตลอดเวลาว่า “เมื่อไหร่จะแต่ง” เราก็ยิ้มให้แทนคำตอบ อีกไม่นานก็ถามอีกละ “จะมีหลานให้แม่อุ้มไหมนะ” “น้องเราแซงไปแล้วนะนั่น” “เมื่อไหร่จะได้การ์ดเชิญน้อ อยากไปงานแต่งแมวโพงน่าสนุก” สนุกสิ เผลอๆได้ขึ้นหน้าหนึ่งออกสรยุทธ์ด้วย

“วิวาห์ไร้พรมแดน ผกก หนุ่มแต่งหนุ่มกะเหรี่ยงปิดทีลอซูจัดงานอลังการกลางป่า โชว์เรือนหอไม้สักทองเสาโอบไม่รอบ เผย พร้อมปั๊มทายาท” คิดไว้ว่าจะให้ออกมาแบบนี้

งานแต่งผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ได้เอาเค้กแต่งงานขยี้หัวอีป้านั่น ไม่ลุกขึ้นกรี๊ดดดเต้นเร่าๆด้วยความอิจฉาเจ้าสาว ไม่เมามายเต้นนัวนายตำรวจเพื่อนเจ้าบ่าวจนเกิดข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน แต่กลับมาบ้านก็คิดไปเรื่อย

ถ้าเรามีลูกขึ้นมาจริงๆจะทำยังไงหรือถ้าเกิดวันดีคืนดีเราไปรับเด็กมาอุปการะแบบอีกิลเบิท เซลล์ขายหนังที่บริษัทเปนกระเทยร่างยักษ์ชาวสิงคโปร์ที่วิญญาณความเปนแม่และเมียในตัวปลุกเร้าให้ไปหาเด็กมาเปนลูกจริงๆ ซึ่งนางก็ไฟท์จนได้ แล้วถ้าวันนึงเราของขึ้นแบบนั้นบ้าง…

สิ่งแรกที่จะทำคือตั้งชื่อลูกว่า “ทีเนอมู” เปนภาษากะเหรี่ยง แปลว่าอะไรใครตอบได้ให้รางวัล และหลังจากนั้นก็คงเปนสิ่งที่คิดว่าจะไม่ให้ทำ มีพอสังเขปดังนี้

1. ไม้ให้ประกวด The Star หรือ AF

สิ่งที่จะทำคือบอกลูกว่าอาชีพอื่นๆในโลกนี้มีตั้งเยอะลองไปรู้ไปเห็นดูก่อนไหม อาชีพบันเทิงคืออาชีพที่ต้องทำให้คนอื่นมีความสุข สิ่งที่เราต้องทำคือต้องเก็บงำความทุกข์ของเราไว้ลูกจ๋า หนูจะทำได้ไหม เพราะหนูจะต้องทำไปตลอดชีวิต และอาชีพนี้มีช่วงเวลาของมันวันนึงหนูดังและก็จะมีวันที่หนูไม่ดังมาถึง หนูจะรับมันได้ไหม ยิ่งหนูดังเท่าไหร่เวลาผ่านไปนานมาก ๆ ก็จะมีคนที่เอ่ยชื่อหนูแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักว่าชื่อนั้นเคยดังมากและมันแสนจะเอาท์ในวันที่เขาหัวเราะกันคิกคักนั้น หนูจะรับได้ไหม

แต่ถ้าหนูรับได้ ป๊าก็จะไม่ให้หนูไปประกวดหรอก หนูต้องฝึกฝนให้หนัก ป๊ายินดีหาครูที่ดีที่สุดในโลกมาสอนให้ หนูต้องคิดงานเองให้เปน เขียนเพลงเองให้ได้ หนูต้องอดทนกับการซ้อมและการแสดงไม่ว่ามันจะใช้เวลาวันละ 9 -12 ชั่วโมงในการซ้อม และใช้เวลาเปนปีๆ เพื่อบ่มเพาะตัวเอง ค้นหาตัวตนบนวงการนี้ให้เจอด้วยตัวเอง แล้วนั่นแหละ วงการนี้จะเปนหม้อข้าวหม้อแกงให้หนูกินไปได้อย่างไม่มีทีสิ้นสุด

2. ไม่ให้ใช้สารเสพติด

ฟังดูแสนเชยไม่เหมือนบางคนที่บอกว่าจะให้ลูกลองหมดทุกอย่างแล้วให้คิดได้เอง เรากลับเห็นต่างไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ ยาเสพติดมีผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะสติปัญญา คนเราเกิดมามีต้นทุนอยู่ที่ร่างกายและสมอง ยาเสพติดทำลายทุกอย่าง ถ้าคุณไม่มีร่างกายที่พร้อมสติปัญญาที่ทำงานได้ปกติ คุณก็ไม่มีค่าอะไร ในวงการนี้เราก็เห็นมาเยอะแล้ว เราก็ไม่อยากให้คนที่เรารักตกอยู่สภาพนั้นเนาะ

คนเราใช้ยาอยู่หลายเหตุผล บ้างก็เอาไว้หลบหนีความจริง บ้างก็เอาไว้สังเคราะห์ความสุข บ้างก็บอกว่าเอาไว้สร้างสรรค์ผลงาน มันก็เรื่องของเขา เราโชคดีที่เกิดมาพร้อมสมองที่ทำสิ่งเหล่านั้นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยาอะไร ดังนั้นถ้าหนูเปนลูกป๊าหนูก็ควรจะได้รับส่วนนั้นมาบ้าง หรือถ้าไมไ่ด้เลยก็จะสอนให้ว่าต้องทำอย่างไรเวลาเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้น

3. ไม่ให้ลูกเรียนพิเศษ

ให้เรียนแต่ในโรงเรียน ทำเกรดให้ดี แล้วถ้าสอบไม่ติดกูจะไปฟ้องกระทรวงศึกษาว่าหลักสูตรบ้าบออะไรทำไมเรียนมาแทบตายไม่ออกสอบ แต่เอาเข้าจริงก็คงไม่ทำอะไรมาก ไม่ซีเรียสด้วยว่าต้องเข้ามหาลัยไหนได้ ขอให้รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร อยากทำอะไรในอนาคตก็พอ จะเรียนสายอาชีพ เรียน กศน เรียนอะไรได้ทั้งนั้น ขอให้รู้จักชีวิตและใช้มันให้ได้ก็พอ

4. ไม่ให้ครองพรหมจรรย์ไปจนถึงวันวิวาห์

อยากจะมีอะไรตอนไหนก็มี แต่ต้องทำความเข้าใจกันว่าต้องป้องกันไม่ให้ท้องหรือเกิดโรคติดต่อ แล้วถ้าจะมีแฟนควรลองเอากันก่อนแล้วค่อยคบกันเปนแฟน เพราะปัญหานอกใจกันส่วนใหญ่เริ่มที่การนอกกาย แล้วทำไมถึงนอกกาย ก็เพราะมันอยากไปกินอะไรแปลกๆใหม่ๆ น่ะสิ ถ้าไม่อยากโดนนอกกาย ก็ต้องหาอะไรมาอัพเดทแฟนอยู่เสมอ แล้วสงสารลูก ถ้าลูกเจอแฟนเซกซ์ห่วย หรือหีเหม็น กลัวต้องเอาไปลงพันทิปแบบในกระทู้นี้

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11575428/L11575428.html

5. ไม่ให้กราบไหว้มนุษย์ด้วยกัน

หากเข้่่าวัดเข้าวาไปกราบพระหรือรูปเคารพก็ทำได้ ในฐานะนั่นคือสัญลักษณ์แทนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใตที่เปนแรงบันดาลใจให้เราทำความดี แต่ถ้ามนุษย์ด้วยกันเองแล้ว หนูก็มีศักดิ์ศรีเท่ากับคนอื่นๆ จะกราบไหว้บูชามนุษย์ก็ขอให้คิด ตริตรอง พิจารณาด้วยเหตุและปัจจัยว่าทำไมเราถึงต้องกราบไหว้บุคคลผู้นั้นไม่ว่าจะเปนใครก็ตาม ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ทั้งหลายในชีวิต แต่แล้วถ้าคิดและอธิบายได้จะชาบูขนาดไหนก็นั่งฟังได้

อันนี้ก็เปนกฏแบบละเอียดๆ ให้น้องทีเนอมูอ่านก่อนตัดสินใจจะมาเปนลูกดีไหมหนอ ซึ่งจริงๆแล้วยังมีข้อห้ามอีกเนอะ และยังมีิอื่นๆ อีกที่ยังไม่จบ ทั้งห้ามและไม่ห้าม โปรดคอยติดตามชม

มะเดี่ยว แสนดี ^^

By jmdeo2011 เขียนใน Diary

บันทึกโสภี 1/2012

พบตัวเองนั่งตัดหนังอีกแล้ว… เปนวงจรชีวิตที่น่าเบื่อมาก จริง ๆแล้วไม่ชอบตัดหนังเลย งานตัวนี้ก็ให้คนตัดต่อแล้วแต่ในที่สุดก็เอางานมาตรวจมาแก้เองก็เลยพบตัวเองนั่งมืด ๆในห้องเย็น ๆ อีกแล้ว วันนี้ตอนเช้าเกือบบ้า เรื่องงานเพลงกับการนัดหมายผู้คน ราคาค่างวดที่เกิดขึ้นจากการจ้างงาน สุดท้ายจบเบรคการทำงานแรกด้วยการไปหาแสง แสงคือหมอนวดฝีมือดีหน้าโหด นวดเร้าใจเหมือนโดนทรมาน แต่มันซาบซ่านนัก การออกไปหาอะไรทำผ่อนคลายก็เพื่อเคลียร์หัวก่อนจะทำงานชิ้นต่อไป กลับมาบ้านจะทำงานต่อพี่เหมียวก็โทรมาตามไปกินข้าวกะทีมทำหนังจีน ที่เขาเอาพิชไปร้องเพลงประกอบ ซึ่งหนังเรื่องนั้นมาริโอ้เล่น เขาอยากคุยกับเรา

ไปกินข้าวคุยกันสัพเพเหระ พี่ ผกก ชื่อพี่ชู กะเมียแกเปนโปรดิวซ์ มาพร้อมกับล่ามกะน้องถ่ายเบื้องหลังน่ารักดี แกบอกว่างานผ่านไปอย่างราบรื่น เพราะพิชทำการบ้านมาดี ควรจะชมกูด้วยเพราะสอนมันมาดี แต่เขาก็ไม่ได้ชมเอาแต่พูดไม่ขาดปากว่า “ที่เมืองจีนเค้าเรียกลื้อว่าพ่างเต่านะ แปลว่า ผกก อ้วน แต่เอาจริงแล้วไม่เห็นอ้วนเหมือนที่เขาว่ากันเลย ลื้อก็น่ารักดีนิ” รู้สึกว่าน่ารักนี่ตอนพูดไปยิ้มไปเหมือนเห็นหมีเห็นตัวอะไรอ้วนๆ น่ารัก แต่ช่างเหอะดูจากแววตาเขามองเราน่ารักจริงๆ ก็เอาละ

นึกถึงเคยมีน้องคนนึงใจดีอุตส่าห์ชมว่า “โหพี่…ยังดูเหมือนคนหนุ่มสัก 32 อยู่เลย”

“เฮ้ย..พี่พึ่ง30”

“อ้าว ไม่ใช่ 36 แล้วเหรอ…”

คือการทำอาชีพนี้หน้ามันแก่…บุคลิกมันฟ้อง

ในวงสนทนาคนจีนเขาบอกว่าเอาอิจฉาคนไทยเพราะที่นั่นทำหนังไม่ได้มากเรื่อง มีกฏข้อห้ามเต็มไปหมด ห้ามผี ห้ามเกย์ ห้ามการเมือง ห้ามเด็กก้าวร้าว ห้ามอวยต่างชาติ ห้ามงมงาย ถ้าหนังเด็กต้อง happy ending เท่านั้น ห้ามเด็กตีกันในโรงเรียน ห้ามเด็กรักกันในโรงเรียน อุแม่เจ้า… แล้วจะเหลืออะไรให้ทำหนังวะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเค้าบอกว่า ในเมืองจีนเงินเยอะมาก เราก็ตาลุกวาว แต่ต้องเก็บอาการเด๋วเขาจับความละโมภได้ก่อนจะปรารภมาเบาๆ “เราก็อิจฉาคนจีน พวกเรามีเรื่องให้ทำเยอะแยะ แต่ไม่มีตังจะทำว่ะ ขอซะหน่อยสิจะเอามาทำพระสุธน-มโนราห์ 3D บินกันให้นมฟัดนมเหวี่ยงกันมาใส่หน้าเลยเอา”

แล้วก็กลับบ้านมาตัดหนังต่อ วันนี้ก็เอาฉากมาเรียงด้วยกันเปนเรื่องแล้ว พรุ่งนี้หาเพลงใส่เพื่อร้อยเรียงจังหวะของหนัง อืมน์ ลูกค้าจ้างให้ทำหนังโฆษณาสั้น7 นาที แต่ตอนนี้ล่อไป 20 นาที พรุ่งนี้เอเจนซี่รู้ต้องน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งแน่ๆ

ทำงานเสร็จก็คุยกับน้องๆ คุยกันเรื่องทำหนังอะไรกันไป ใจก็อยากหาคนมาช่วยเขียนบท จะมาสอนปั้นมันให้ใช้ได้จะได้จ้างงานมันต่อไป หาคนมาเรียนตัดจะได้จ้างมันทำงานต่อจากเราไม่ต้องมานั่งตัดเองทำเองไปหมดทุกขึ้นตอนแบบนี้ ก็เลยผุดไอเดียว่าควรเขียนบลอกว่าด้วยการทำเขียนบท และตัดต่อ ถ่ายทอดความรู้และอะไรเท่าเคยเจอมา ในหัวข้อ “ตอแหลได้โล่ห์” ที่ขึ้นอยู่บนเมนูนั่นแหละ ต่อจากนี้ไปจะอัพสาระแก่นสารไว้บนนั้น ส่วนอะไรไร้สาระก็จะอยู่แถวๆ บลอกนี้แหละ

ตกดึกมีคนโทรมาหาชวนไปคุยกัน ไม่ไหวจะเคลียร์ ไม่อยากออกไปไหน แต่ก็ยังไม่ได้นอน เพราะกินยาหมอ ยาหมอแรง รักษาอาการอักเสบได้ตั้งคอ ยัน จิ๋ม อาการข้างเคียงก็แรงมากเช่นกันนั่นคือกรดไหลย้อน เคยกินตอนท้องว่างคืนนึงแล้วตื่นมาพะอืดพะอมทั้งคืน จะบ้าตาย นี่ก็วูบๆ วาบๆ นอนรอกรดยุบก่อน

แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาตัดหนังต่อ…

แมวโพง อัจฉริยะ

By jmdeo2011 เขียนใน Diary

บ้าน

ลาดพร้าวที่รัก

ฉันพบตัวเองเดินอยู่ในทางเดินกลับห้องที่อยู่ปลายสุดของทางเดิน สองฝั่งซ้ายขวาประตูห้องปิดสนิทและเงียบงัน พวกเขาคงหลับกันหมดแล้ว ฉันเ

ทางผุพังไปแม่ตื่น

ดินทางมาไกลเหลือเกิน ตลอดปลายปีที่ผ่านมา เซี่ยงไฮ้ แม่ตื่น เชียงใหม่ และกว่าจะกลับมาที่นี่ ลาดพร้าวอีกครั้งเมื่อเปิดเข้ามากลิ่นของห้องที่คุ้นเคยก็ปะจมูกต้อนรับฉันอย่าง

สนิทสนมจนฉันต้องไปเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศที่อบอวลอยู่ในนี้ให้ออกไปบ้าง ใช่สินะ มันไม่มีใครอยู่มาหลายสัปดาห์ ขวดน่้ำเปล่าก็ยังวางระเกะระกะกล่องทิชชูก็ยังไม่มีเก็บไปทิ้ง อะไรหลายอย่างก็ยังอยู่ที่เดิมเหมือนวันแรกที่ฉันออกมา และมันก็ไม่มีใค
รรอฉันอยู่ที่นี่เหมือนเคย แต่ฉันก็ไม่รู้สึกแปลกหน้ากับอารมณ์นี้เท่าไหร่ปลายปีที่เดินทางมามากมาย ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ ๆ กินดื่มเที่ยวสูบเซ็กซ์ มาตั้งแต่วันที่ 29 จนกระทั่งคนเขากลับไปทำการทำงานกันฉันก็ยังเริง และในที่สุดวันที่ 6 มค ฉันก็ล้มป่วยต้อนรับปีใหม่ ไข้ขึ้นสูงมากเจ็บคอมากแต่วันนั้นฉันมีนัดอัดเพลงประกอบหนังที่จองห้องอัดไว้แล้วและเลื่อนไม่ได้ก็ต้องหอบสังขารไปทำงานจนเสร็จ และขับรถกลับบ้านในสภาพที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

ทุกครั้งฉันรู้ตัวดีว่าเมื่อป่วย ให้กินยาตามอาการและนอนพักผ่อนให้มากที่สุด ทำตัวให้เหงื่อแตกมากที่สุด และพรุ่งนี้มันก็จะหาย ฉันไม่อนุญาตให้ตัวเองป่วยได้มากเกิน 2 วันคืนนั้นแม่คอยเดินวนเวียนเข้ามาปลุกให้กินยาทุก ๆ 4 ชั่วโมงจนฉันคิดว่ากูคงจะไม่หายเพราะแม่คอยมาปลุกนี่แหละจะเอาเวลาไหนพักผ่อน จนตอนเช้าฉันตื่นขึ้นมาโดยไข้ลดลง เดินเหินได้คล่องขึ้น แต่ก็ชวนแม่ไปโรงพยาบาลเพื่อความสบายใจ

ที่โรงพยาบาลหมอตรวจดูอาการก็พบว่าเปนทอนซิลอักเสบ มีหนอง ฉันขอตรวจตาซ้ำเพราะหลายปีที่ผ่านมาทำงานหนังงานอะไร ตาเริ่มเห็นวุ้นและแสบๆเคืองๆ ง่าย หมอบอกว่าไม่มีอะไรเปนต้อลม ระวังอย่าให้ตาโดนลมและตาแห้งมากให้หยอดน้ำตาเทียม สรุปฉันเปนโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไร ไม่ต้องนอน รพ แต่หมอก็ฉีดยาให้ฉันเข็มนึงให้หายไวๆ อีปุ๊ พี่สาวของฉันที่เปนพยาบาลอยู่ที่นั่นเปนคนฉีดให้ทางสะโพก ฉันคิดว่านางคงกระหน่่ำแทงให้ฉันดิ้นพราดๆ ค่าที่ฉันร้ายใส่นางไว้มาก แต่ก็หาได้เปนเช่นนั้น ไอ้ที่ว่าจะปวดๆ  ก็ไม่เห็นจะเจ็บอะไรมากมาย

ฉันกลับบ้านมานอนครุ่นคิดได้อีกทั้งวัน เพราะไม่มีอะไรจะต้องทำ ฉันคิดอะไรออกเยอะแยะในชีวิตที่ผ่านมาคิดถึงการงานที่โดนสายน้ำพัดพาไป คิดถึงงานใหม่ที่ยังมีอุปสรรคอยู่มากมาย คิดถึงการขับรถตะลุยขึ้นภูเขาไปอย่างไม่บันยัง จนรถพังต้องไปซ่อมอยู่ที่อู่ คิดถึงตะลุยใช้ร่างกายหักโหมทั้งที่นี่ก็จะ 31 แล้ว นี่เราใช้อะไรเกินคุ้มไปหรือเปล่า

ปีที่ผ่านมามีหลายงานที่ตั้งโปรเจคขึ้นมาแล้วมันก็ยุบไป มันก็ไม่ได้ทำ เหนื่อยไหม ก็เหนื่อย แล้วมีงานอื่นง่ายๆให้ทำเงินดีๆมาเสนอมีไหม ก็มีแต่ก็ไม่ทำ ทำไมน่ะหรือ ก็ไม่รู้เหมือนกันบางอย่างมันง่ายไปมันไม่ท้าทาย บางทีเราก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองด้วยอะไรบางอย่างที่มันอาจใช้เวลาและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งมันต้องใช้แรงกายแรงใจ และกำลังใจจากผู้คนรอบข้างมากมายเหมือนกัน  แล้วถ้ามันผิดหวังอย่างที่ผ่านมาเราจะทำไง ที่ทำได้ก็คือหยุดพัก และค่อยๆ เก็บเศษที่เหลือที่มันยังพอประกอบมันขึ้นมาใหม่ได้ แล้วก็สร้างมันต่อไป ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟาย เรียนรู้จากสิ่งทีผ่านมาว่าอะไรที่ทำให้ความฝันของเราแตกสลายลงไป และนั่นแหละ จากนั้นก็เดินต่อไป ทำต่อไป จนกว่าเราจะหมดแรง

แล้วนี่ก็ 31 แล้วครึ่งชีวิต หมดแรงหรือยัง ร่างกายเริ่มถดถอย ผิดหวังซ้ำ ๆ อุปสรรคที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรกที่ทำงานจนถึงวันนี้มันก็ยังไม่เคยเปลี่ยน ฉันถามตัวเองและตอบตัวเองแบบคนบ้าว่า ไ่ม่เลย ไม่เลยสักนิดที่จะหยุดทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ มิใช่เพราะชีวิตถูกตีกระหน่ำมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กนั่นหรือที่ทำให้แข็งแกร่งได้จนถึงทุกวันนี้ เรื่องร้ายๆผ่านไปแล้วมันก็จะตอบแทนเราด้วยสิ่งดี ๆ บ้างแหล่ะน่าไม่ช้าก็เร็ว

ฉันคิดถึงเสียไก่ขันอันทรงพลังที่แม่ตื่น เสียงโทรศัพท์ปลุกฉันให้ตื่นมาทำงานที่เซี่ยงไฮ้ เสียงตามสายแปลกๆที่แม่สอด เสียงรถขายผลไม้ที่มาแต่เช้าตรู่ของลาดพร้าว เสียงหายใจเบาๆ ของคนที่ฉันจูบลาก่อนจะหลับไปข้างๆกัน และสัมผัสเย็นๆของหลังมือแม่ที่แตะหน้าผากว่าฉันตัวร้อนขนาดไหน เสียงสัมผัสเหล่านี้คือสิ่งยืนยันของการมีชีวิต ที่ไม่ได้มีแค่ชีวิต แต่ยังมีเพื่อนชีวิตที่เดินไปกับเราเสมอ ๆ และนั่นก็เพียงพอที่จะต้องดำเนินมันต่อไป

สวัสดีปีใหม่ 2012

แมวโพง แสนดี

By jmdeo2011 เขียนใน Diary

ว่าด้วยเรื่องการไป Blockshot

มาBlockshot สองวันยัง ได้โลเกชั่นดีๆไปเยอะส่วนที่ไม่ได้เลยก็มียังค้างคา ยังความปวดเศียรมาสู่ข้าพเจ้าเปนยิ่งยวด แล้วไอ่ที่ไม่ได้คือสิ่งที่ง๊ายง่าย นั่นคือบ้านคนปกติเนี่ยแหละ ไม่ใช่ความผิดพลาดของฝ่ายจัดหาสถานที่หรือเราเยอะสิ่ง แต่บ้านง่ายๆเนี่ยแหละคือโจทย์ที่ยากที่สุดในการหาสถานที่่ถ่ายทำ บ้านหรูก็มักจะแพง บ้านหรูที่ราคาสมเหตุผลถ่ายได้ก็ถูกกองถ่ายตะบันถ่ายไปจนช้ำหมดแล้ว หรือบ้านของชนชั้นกลางทั่วไป ก็ไม่ง่ายเพราะส่วนใหญ่คนจะอยู่จริงเวลาเราไปถ่ายก็มักจะไปรบกวนวิถีชีวิตจริงของเขา ตอนนอนเขาก็จะถ่ายหนังนอนไม่ได้

ตอนตื่นอยากจะมาดูมันก็ไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามในเซ็ทในกอง หลายบ้านถึงขั้นเข็ดขยาดไม่ยอมให้ใครมาถ่ายหนังอีกเลย เพราะหลายครั้งที่งบไม่พอต้องอาศัยหยิบยืมของในบ้านมาประกอบฉาก ทำแตกหักเสียหายกันไปบ้างแล้วก็เปิดเผ่น เปิดบ้านให้ถ่ายหลายกองก็ไม่รู้ว่าฝีมือใคร เปิดตูดชิ่งไปแล้วจับตูดใครดมก็ไม่ได้ เปนที่น่าเวทนานัก

ตอนนี้บ้านกรมชลฮิตมาก บ้านกรมชลที่นนทบุรีนั่นแหละ เราเคยไปถ่าย12begins ที่นั่นเปนบ้านของพี่ตั้วศรัญยูกะน้องอเล็กซ์ เมื่อวานนี้ดูในทีวีรู้สึกจะเปนบ้านที่พี่ค่อมชวนชื่นไปตลกกันมวลหมู่อยู่ในนั้นไม่รู้บ้านใครเปนบ้านใคร และเหมือนวันก่อนโดมปกรณ์ลัมภ์ยังไปแยกเขี้ยวปลอมฮาโลวีนหลอกพลอยเฌอฯ ให้ตกใจกลัวจนตัวสั่น

พูดถึงโดมกับเขี้ยวปลอมแล้วก็หดหู่ใจ ใครจะว่าเขาหล่อยังไงก็ตามแต่เราก็ว่าเขาหล่อนะ แต่ละครไทยมาถึงจุดที่รับการแสดงแบบนี้ได้แล้วเราคิดว่านับจากนี้กูคงทำอะไรก็ได้แล้วล่ะ เด๋วจะลองเอาหุ่นไล่กามาเล่นดู น่าจะเล่นได้เปนธรรมชาติพอกัน แต่การแสดงในระดับนี้ยังไม่น่าสิ้นหวังเท่าคุณเปรมที่เล่นกับพลอยในเรื่องอะไรจำไม่ได้ที่พลอยเล่นเปนน้ำหวาน เราชอบพลอยมากเธอเปล่งประกายจรัสแสงกลบแทบทุกคนในเรื่อง และคิดว่าในเรื่องใหม่นี้ก็คงจะเปนเช่นนั้น

ถามผู้อาวุโสในวงการว่ามันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เขาก็บอกว่าบางทีช่องก็โอเคกับดาราแค่บอกว่าคนนี้จะเล่นกับคนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรช่องก็อนุมัติแล้วเพราะยังไงก็มีคนดู ประกอบกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของคนแถวๆนี้ว่าเล่นห่วยก็ไม่เปนไรขอได้ดูหน้าหล่อๆก็พอให้อภัยได้ เราก็พอจะทำใจได้แล้วว่าสังคมนี้คงต้องการแค่หีบห่อที่สวยงาม รูปลักษณ์ที่ฉาบฉวย เท่านั้นเองจริงๆ

เราคงไม่ต้องบ่นเรื่องรสนิยม ความลุ่มลึกทางศิลปะ ความลึกซึ้งทางอารมณ์กันอีกต่อไป เพราะมันหายไปจากวิถีการเสพงานบันเทิงของสังคมบ้านเราไปนานแล้ว จนไม่รู้ว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

วันนี้คุยกับทีมงานเรื่องผู้กำกับหนังในดวงใจไม่ล้มป่วยก็สิ้นไปแล้ว อย่างอาบัณฑิต ผู้เปนแรงบันดาลใจทำให้เราอยากทำหนัง และก็พี่แกละ ผกก ทวิภพ เวอร์เชิ่นฟลอเรนซ์ แม้จะถูกตีความออกไปสุดโต่งจากบทประพันธ์เดิมและมีกลิ่นหนังราชาชาตินิยมอยู่ข้มข้น แต่หนังเรื่องนี้เปนหนังที่ production เป๊ะมากทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแบบมีวิสัยทัศน์ของหนัง (Cinematic Visionary) ก่อให้เกิดงานที่เรียกได้ว่าเปนภาพยนตร์วิจิตรได้โดยแท้ ตอนนี้พี่แกละป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองทำให้แกไม่สามารถทำหนังได้อีกต่อไป เปนที่น่าเสียดาย พี่บิ๊ก production designer ของเราบอกว่าเคยไปทำงานกะแกเรื่องทวิภพนี่แหละ ตอนนั้นเปน art หนึ่งในหลายๆคนของ art director ของพี่แกละ พี่บิ๊กเล่าว่าแกจะมีกฏ10ข้อในการทำงานกับแกให้ทุกคนได้ท่องจำ มีอะไรมากมายจำไม่ได้จำได้แต่ข้อสุดท้ายว่า “ห้ามต่อยผู้กำกับ” ทีแรกพี่บิ๊กแกก็ขำๆแต่พอทำไปจริงๆก็เริ่มอยากจะต่อยจริงๆ คงไม่ต้องเล่าว่าทำไมเดี๋ยวจะกลายเปนมานั่งเม้าพี่แกละกันไปซะงั้น

จริงๆแล้วจะเขียนเล่าเรื่องการ Block Shot ว่ามันสำคัญอย่างไร แล้วมันต่างจากการไปดูโลเกชั่นอย่างไร ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเวลาจะหาที่มาถ่ายหนัง ก็จะมีคนออกไป scout location ก่อนคือไปหามาจากที่เราได้บอกไปคร่าวๆว่าอยากได้อะไรแบบไหน พวกเขาและเธอเหล่านั้นก็จะออกไปเสาะแสวงหาสถานที่ให้ใกล้เคียงกับความคิดเรา ตอนแรกๆก็เอามาเลือกให้ดูหลายทีก่่อนก็จะคัดเลือกไปทีละรอบ ยังไม่ชอบก็ไปหามาใหม่ ไอ้การเลือกออกคัดไว้เนี่ย มันเปนการที่คนทำโลเกชั่นจะได้เรียนรู้ว่าพี่ผกกเขาชอบแบบไหนสไตล์ไหน ปรับจูนกันให้เข้าใจในตอนนี้แหละ โดยเฉลี่ยสำหรับเราเลือกมาไม่เกินสามรอบที่จะดูรูปจากนั้นก็จะออกไปหาที่จริงกัน เอาง่ายๆจากสิบยี่สิบที่เราก็จะเลือกไว้ซักสามที่เอาไว้เปนตัวเลือก เผื่ออันแรกไม่ได้ก็สองสามต่อมา ออกไปดูโลเกชั่นจะได้ไม่เปลืองค่ารถตู้

การเลือกโลเกชั่นมีหลักเกณฑ์อย่างไร ก็เหมือนเลือกคน จะเลือกแต่สถานที่สวยๆก็ไม่ได้ แน่นอนว่าก็ต้องเอาดูแล้วสวยก่อนแล้วค่อยดูว่าฟังชั่นการใช้งานมันได้หรือไม่ ห้องนี้อาจสวยแต่มันแคบไปสำหรับการทำงานไหมเพราะไม่ใช่มีแค่นักแสดงที่เข้าไปอยู่ในนั้น ทั้งกล้องไฟเสียงก็ต้องไปอุดอู้กันอยู่ในนั้น ต่อให้ห้องจะสวยเพียงใดกล้องเข้าไปไม่ได้มันจะเกิดเปนภาพยนตร์ไปได้อย่างไร แล้วก็ไม่ใช่เลือกห้องกว้างเวิ้งว้างจนทีมอาร์ตเซ็ทห้องไม่ไหวนี่ก็จะไปกันใหญ่

นอกจากขนาดและความเหมาะสมในการใช้งาน อารมณ์ของสถานที่ก็ควรจะแมชกับอารมณ์ของฉากด้วย แล้วนอกนั้นก็เปนเรื่องของความเหมาะสมของสิ่งรายล้อม เวลาไปถ่ายหนังมันจะมีขบวนรถไปมากมายทั้งรถกล้องรถไฟรถอุปกรณ์รถสวัสดิการรถเสื้อผ้า ฯลฯ มันมีที่ให้ตั้งกองไหม ก็ต้องพิจารณาด้วย ไม่ใช่ไปแล้วไม่มีที่จอดรถอุปกรณ์ ไม่มีที่จอดรถทำกับข้าว แล้วทีมงานจะกินข้าวยังไง แล้วไม่มีที่จอดรถส้วมในบาง location ก็ไม่ต้องขี้กันล่ะทีนี้

จะเห็นได้ว่าทุกองคาภยพในกองถ่ายมันมีความสำคัญอย่างเท่าๆกันจะละเลยไปสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ แต่ขอเม้าว่ามีบางตำแหน่งที่บางโอกาสก็สำคัญขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ตำแหน่งที่จะขอเม้าในวันนี้คือ “ช่างแต่งหน้าดารา”

ดาราบางคนจะมีช่างแต่งหน้าไว้ประจำตัว ซึ่งพวกนี้ก็จะอัพค่าตัวตามดาราไป อย่างเช่นสมมุติว่าดาราคนนึงรับโฆษณาชิ้นนึงไว้ที่ 100,000 บาท แต่ต้องจ้างช่างแต่งหน้าของนางที่ราคา 4-6 หมื่นบาท จำไม่ได้ตอนนั้น ซึ่งช่างคนนี้ก็จะไม่แต่งหน้าใครนอกจากดาราของตัวเอง ระบบแบบนี้ในหนังนอกดาราฮอลลีวู้ดหรือดาราเอเชียดังๆเขาก็มี แต่กับวงการบันเทิงไทยที่เบี้ยน้อยหอยน้อยกันอยู่แล้ว (ส่วนใหญ่จะค่าโปรดัคชั่นน้อยเพราะเอาไปโปะค่าตัวดาราหมด) การคิดค่าช่างแต่งหน้ากันแบบนี้ถือว่าเปนการ “ปล้นนะยะ” โดยแท้ แล้วนอกจากทำการค้ากำไรเกินควรจนน่าแจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคมาจับ ช่างเหล่านี้มักจะติสแตกเกินจริง บางนางใช้เวลาแต่งหน้าสี่ชั่วโมง ค่อยๆเกลี่ยผิวแก้ม ละเลงเปลือกตา ใครไปเร่งก็ไม่ได้ นางก็จะปรายตามองหน้าแล้วก็แกล้งแต่งให้ช้ากว่าเดิม บางนางก็เร่งไม่ได้มีด่าไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเปน ผช ผกก โปรดิวซ์ ก็นับว่าโชคดีของนางที่ยังไม่โคจรมาเจอข้าพเจ้า และก็คิดว่าคงไม่มีวันได้เจอกันแน่ เพราะหนังเราไม่ค่อยแต่งหน้าเยอะ

จะแต่งสวยหรือไม่สวยบางทีก็ดูไม่ออกด้วยตาเปล่า แต่ที่แน่ๆพอเข้ากล้องแล้วสวยไม่สวย ผกก และ ผกกภาพ จะรู้ดีที่สุด และในท้ายที่สุดแล้ว การลงแสงการจับมุมภาพคือการทำให้ดูดีในขั้นตอนท้ายสุด ดาราบางคนเชื่อช่างแต่งหน้าตัวเองยิ่งกว่าพ่อแม่ และในเมื่อพ่อแม่มันยังไม่ฟังแล้วผู้กำกับเปนใครใยถึงจะฟัง บางทีก็ถมเครื่องสำอางมาจนหนาเตอะนัยกว่ากลบหลุมสิว เราก็บอกให้ไปเอาออกก็ไม่ยอมเพราะสิวเต็มหน้าไม่มีเครื่องสำอางกลบก็ไม่มั่น ก็เลยปล่อยเลยตามเลย ถ่ายออกมาทั้งที่หน้าเปนหลุมสิวแบบนั้นแหละเสือกอยากเชื่อช่างแต่งหน้าดีนัก

เพราะถ้าฟังกันซักหน่อยพี่ก็จะได้บอกให้ตากล้องเขาใส่ซอฟฟิลเตอร์ ซะหน่อยหน้าน้องจะได้ดูนวลใสขึ้น…ก็เท่านั้นเอง

ไปเม้าดาราซะงั้นเอาเปนว่าเรื่อง BlockShot ไว้ต่อพรุ่งนี้ละกันสำหรับวันนี้พอแค่นี้ เอาภาพไปดูเปนตัวอย่างก่อนไว้จะมาอธิบาย

at montfort college

ราตรีสวัสดิ์

อาจารย์แมวโพง

แค่หันหลังไป ใบไม้ก็ร่วงหล่น

รถวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วเฉลี่ย 130 กม./ชม.

 คนนั่งข้าง ๆ หลับสนิทเหมือนกับอยู่ที่บ้านของเขาเอง แม้ว่าเสียงเพลงของบอดี้สแลมดังกึกก้องช่วยไม่ให้ข้าพเจ้าหลับคาพวงมาลัย แต่อาจจะเปนเพราะถนนอันมีสภาพดีมากบนเส้นทางเพชรเกษมช่วงพระราม2 – หัวหิน ทำให้รถวิ่งนิ่มราวกับเหาะอยู่บนอากาศ

ข้าพเจ้ากลับมาจากการพักผ่อน ใช่…วันธรรมดาที่ใคร ๆ เขาก็ทำงานกันแต่ข้อดีของการทำงานอิสระก็คืออยากจะหยุดให้ตัวเองในวันไหน หรือเมื่อไหร่ก็ได้ เต็มที่ แม้สองวันที่ผ่านมาทั้งผู้ช่วยแลใครต่อใครต่างโทรหาอย่างอุตลุตเพราะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการงานก็ตาม ข้าพเจ้าจึงใช้เวลาเที่ยวไป พักไป คุยงานไป ก็เกรงใจคนที่เขาไปด้วยอยู่ไม่ใช่น้อยแต่ดูเหมือนเขาก็ชาชินกับสิ่งนี้ไปแล้ว

จะว่าข้าพเจ้าเปนพนักงานอิสระก็ไม่ได้เต็มปากอีกต่อไปเพราะที่จริงเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ร่วมกับหุ้นส่วน เปิดบริษัทขึ้นมา หะแรก ก็เพื่อจะเปนหลักเปนฐานในการดูแล รับงาน และผลิตผลงานเพลงของวงน้องสิงห์ แต่จะทำแต่อย่างเดียวดูไปดูมาก็หาจะกำไรไม่ ฉะนั้่นบริษัทจึง ต้องขยับขยายไปในทางอื่น ซึ่งก็คงต้องรับจ้างผลิตภาพยนตร์ โฆษณาหรือโปรดัคชั่นอื่น ๆ รวมไปดึงการพัฒนาเนื้อหาของสื่อประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน บทหนัง บทละคร เพลง ดนตรีประกอบ รายการ เกมส์ต่าง ๆ เท่าที่จะมีปัญญาคิดออก แต่ในช่วงนี้ก็ต้องเหนื่อยหน่อยในการก่อร่าง สร้างตัวบริษัทน้อย ๆ ให้เปนรูปเปนร่าง

จะใช้เวลานานเท่าไหร่ หรือต้องลงทุนลงแรงไปอย่างไร แล้วจะได้ผลอะไรกลับมา ก็ไม่รู้ได้ แต่นี่ก็เปนสิ่งท้าทายในชีวิตอีกสเต็ปหนึ่ง มีเวลาก็จะมาเขียนบันทึกลงในนี้ให้เปนหลักกิโลให้มองย้อนกลับไป

คนข้าง ๆ ยังหลับสนิท ข้าพเจ้ารู้สึกดีที่เขาหลับเพราะถ้ามีคนหลับในขณะที่เราขับรถแปลว่าเขารู้สึกปลอดภัย ซึ่งนั้นก็ทำให้รู้ว่า โลกนี้ยังมีคนวางใจฝากชีวิตไว้กับเราผู้กำลังนำพาเขาไปสู่จุดหมายด้วยความเร็วที่ไม่น้อยเลย

….

เมื่อส่งเขาถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็ขับรถกลับบ้านคนเดียว บนทางด่วนบรมราชนนี ข้าพเจ้ามองเห็นเมืองในระนาบกว้าง แสงสีอ่อน ๆ ของหน้าหนาวงที่มาเร็วกว่าทุกปีย้อมเมืองให้ดูอบอุ่น มันไม่เหมือนเมืองหลวงของประเทศที่น้ำกำลังท่วมไปครึ่งค่อนประเทศ ไม่เหมือนเมืองที่เคยมีคนถูกฆ่าตายอยู่ ใจกลางเมืองอย่างโหดเหี้ยม ไม่เหมือนเมืองที่กำลังทรุดโทรมลงไปทุกขณะ ข้าพเจ้าไม่ควรคิดดังไปกว่านี้เพราะผู้คนในเมืองนี้กำลังตื่นเต้นกับการมา เยือนของฤดูหนาว แลเทศกาลงานรื่นเริงที่กำลังจะมาในปลายปี ใครก็อยากลืมเรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เช่นกันแต่โชคร้ายที่เปนคนลืมยาก

รถแล่นลงจากทางด่วนเพื่อจะขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ช่องทางจราจรถูกเบียดเข้ามาจากฝั่งขาออก ทำให้รถฝั่งขาเขาติดอยู่บนสะพานพอสมควร ข้าพเจ้ามองดูน้ำเจ้าพระยาที่กำลังเอ่อล้น แต่คนกรุงคงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เดือดร้อนจากอุทกภัยแบบคนจังหวัดอื่น ๆ เขาเจอกัน หันไปด้านขวามองดูโรงพยาบาลศิริราช ตึกใหม่ ๆ ใหญ่ ๆ ผุดขึ้นมากมาย บริเวณที่เคยไปถ่ายหนังรักแห่งสยาม ตอนโต้งมิวเด็กเล่นซ่อนของกัน ตอนนีก็กลายเปนตึกใหญ่โตไปแล้ว แต่โรงพยาบาลศิริราชก็มีเรื่องราวที่ยากจะลืมของข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกครั้งที่ผ่านไปที่นั่นข้าพเจ้ามักจะนึกถึง "เต้" เต้เปนเด็กสวนกุหลาบ เรารู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเคว้งคว้างจากการทำหนังเรื่อง 13 เกมสยองแลยังไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนนั้นดำริห์จะทำสารคดีเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นแลการเอาชีวิตรอด มีหลายคนที่วางตัวเองไว้ไม่ว่าจะเปนเด็กหนุ่มในพื้นที่จังหวัดยะลาที่อยู่กับความหวาดระแวงระเบิดทุกวัน เด็กหญิงที่ถูกข่มขืนจนตั้งท้องแลต้องทำแท้งเพื่อเอาเด็กออก และเต้คือเด็กหนุ่มที่ต้องต่อสู้กับ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ข้าพเจ้ารู้จักกับเต้ผ่านเพื่อนสนิทแลก็ได้เข้าไปคุยกับเต้เพื่อถามข้อมูลว่าเปนยังไงกับการอยู่กับโรคร้ายนี้

จากคุยกันที่โรงเรียนก็เริ่มต้องไปคุยกันที่โรงพยาบาล เพราะเต้ต้องเข้ารับการคีโมแต่ทุกครั้งที่ไปหาก็ไม่พบว่าเต้จะมีอาการแพ้คีโม หรือทุรนทุรายแต่อย่างใด จากที่เคยพูดถึงเรื่องโรคภัยของเขา ก็กลายเปนคุยกันเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ จนทำให้เรารู้จักกันสนิทกันมากขึ้น มากกว่าคนทำสารคดีกับเด็กคนหนึ่ง หลายครั้งที่เต้แอบเปลี่ยนชุดนอกแล้วออกไปหาอะไรกินนอกโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งออกมาดูหนัง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรกับเต้ไปบ้างแต่มีคำนึงที่ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจเต้เคยบอกว่า "อยากจะทำอะไรก็รีบทำนะ" แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยากให้เต้ใส่ใจกับคำนี้มากเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าชีวิตนี้แสนนั้นนัก

ไม่นาน ก็มีโปรเจคหนังใหม่ที่จะเริ่มทำในตอนนั้น โปรเจคสารคดีเรื่องนี้ก็พับเอาไว้ ข้าพเจ้าก็ไปยุ่งกับงานต่อ อาการของเต้ก็ดีขึ้น จนกระทั่งเขาสอบเข้ามหาลัย แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้น แต่อาการของเต้ดูดีขึ้นมาก เหมือนจะหายดีแล้ว ด้วยสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเต้และความวุ่นวายในชีวิตของเราทำให้เราห่างกันไปโดยปริยาย วันดีคืนดีก็มีโทรหากันบ้าง ตอนหนังรักแห่งสยามเข้าและดังใหม่ ๆ เต้ก็โทรมาแสดงความยินดีด้วยและปรารภว่าอยากได้ Boxet เก็บไว้ เต้จำได้ว่าเรืื่องนี้ข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังตอนที่เต้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ก็แปลกใจเหมือนกันที่เต้จำอะไรที่เราเล่าได้ด้วย และสุดท้ายที่เจอกันคือวันที่พากันไปดูหนังเรื่อง Charlie and the chocolate factory ที่ sf มาบุญครองแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ได้แต่คุยกัน

ข้าพเจ้ากดโทรศัพท์ไปหาเต้ เสียงรอสายดังขึ้น ข้าพเจ้าแอบดีใจว่าเขายังไม่เปนอะไร แต่พอมีคนรับสายเปนเสียงที่ไม่คุ้นแลถามว่า "ใครอะครับ" ข้าพเจ้าเริ่มใจเสียแต่ก็หวังแค่ว่าคงมีใครสักคนรับโทรศัพท์ของเขา

 "นี่พี่แมวโพงนะครับ นั่นใครอะ"

"นี่น้องพี่เต้นะครับ" เสียงปลายสายดูนิ่งเฉย

 "แล้วพี่เต้ไปไหนอะครับ"

"พี่เต้ เสียแล้วครับ" ปลายสายนิ่งก่อนจะพูดออกมา ข้าพเจ้าก็นิ่งเช่นกัน

"…เมื่อไหร่น่ะครับ" ข้าพเจ้าพยายามคุมความตกใจเอาไว้

"วันที่ ๕ ธันวา ที่ผ่านมาน่ะครับ" ข้าพเจ้าพยายามคิดว่าเปนเรื่องอำเล่น เพราะเสียงเต้กับน้องชายก็ไม่ได้ต่างกันมาก แลน้ำเสียงที่ปลายสายนั้นไม่มีวี่แววว่าจะล้อเล่นเลยสักนิด และข้าพเจ้ารู้ดีว่าวันตายของคนที่รัก เราจะจำได้ขึ้นใจ กับน้องชายของเต้ก็คงเช่นกัน ข้าพเจ้าถามอะไรไปไม่กี่คำ ก็วางหูไป แล้วก็โทรไปหาอีกที หวังว่าจะเปนเรื่องอำกันขำ ๆ แต่ก็น้องเต้ก็รับเหมือนเดิมข้าพเจ้าก็ถามเขาไปอีกเล็กน้อยว่าลอยอังคารหรือเก็บกระดูก ก็ได้คำตอบว่าลอยอังคารไปแล้ว ทีนี้ก็คงจะทำได้แค่สวดภาวนาไปให้เต้ผู้ล่วงลับ

วางหูไปทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดนิ่งไป นี่เต้เสียไปเมื่อวันที่ 5 ธค ปีก่อน แปลว่าเราไม่ได้โทรไปหาเขาเกือบปีนึงเต็ม ๆ นั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านไปในระยะเวลานั้น ข้าพเข้าได้กระทำสิ่งต่าง ๆ ไปมากมายจนเวลาเหมือนผ่านไปสั้น ๆ แต่เอาเข้าจริงเราได้พลาดอะไรหลายสิ่งในชีวิตเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกับเราเดินทางไป เจอต้นไม้ที่ไหนสวย ๆ ร่มเงาดี ๆ ก็หยุดพัก บางทีก็คิดว่ามันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อย้อนกลับมา ต้นไม้ต้นเดิมก็ไม่เหลือแล้ว บางทีคิดว่าหลงทาง บางทีมันอาจจะย้ายที่ แต่ความจริง บางทีชีวิตอาจปลิดปลิวไปเร็วกว่าที่คาดคิด "อยากจะทำอะไรก็รีบทำ" คำพูดของเต้ดังก้องไปมาในหัว

บางคนกำลังวิ่งหาความฝัน บางคนวิ่งหาความมั่งคั่ง บางคนวิ่งหาความรัก นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต่างวิ่งหากันในชีวิต เราต่างอยากทำในสิ่งที่เราต้องการกันทั้งนั้นแหละเพราะชีวิตนี้มีกันชีวิตเดียว ชาติหน้าฉันใดก็ไม่รู้ว่าจะจดจำตัวตนกันได้หรือเปล่า ดังนั้นการจากลากันโดยไม่ได้บอกลาคือสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดที่ไม่สามารถเอาอะไรมาทดแทนได้ แต่ในเมื่อย้อนกลับไปทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ "อย่าลืมกัน"

แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ อะไรที่อยากจะทำแล้วไม่ได้ทำกับเต้ ก็คงจะเปนการบอกว่าดีใจที่ครั้งหนึ่งเราได้เจอกัน และครั้งหนึ่งพี่เคยรักเต้ และพี่ก็ยินดีกับความรู้สึกดีที่เต้มีให้กับพี่ ขอบคุณที่คิดถึงพี่ในบางครั้ง พี่จะคิดถึงเต้ตลอดไปนะ ขอให้เดินทางต่อไปไว้เจอกันใหม่ชีวิตหน้า เพราะเจอกันนิดเดียวในชาตินี้ พี่ว่าเรายังสนุกกันไม่พอ

 ขอให้โชคดีนะ รักและคิดถึงตลอดไป

 แมวโพง ของเต้

อนาคตกาล

เมื่อคืนมีลมพัดโชยอย่างที่บ้านข้าพเจ้าเรียกว่า “สายลมจอย” ในยามดึก ระคนกับเสียงอึ่งอ่าง กบเขียดที่ร้องกันระงมเหมือนว่ามันจะได้กลิ่นฝนแต่ไกล หากแต่ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้มีฝนตกลงมาแต่อย่างใด หนำซ้ำแล้ว ณ เวลานี้อากาศก็ร้อนเหมือนเมื่อวาน และวันก่อน แลวานซืน

ตามปกติอากาศร้อนอย่างพีคกลางเดือนเมษาอย่างนี้จะมีฝนตกลงมาบ้างตามธรรมชาติที่เขาเรียกว่า ฝนหัวสงกรานต์ แต่ปีนี้ไม่มี มีแต่พายุฤดูร้อนพัดเอาบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง วัดแลวิหารในพื้นที่โล่งพังทลายไปหลายหลัง หากแต่ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็จะถูกปลูกสร้างใหม่ได้ ด้วยสำนึกแห่งการเอาตัวรอดและไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม การหวนอาลัยต่อสิ่งที่เสียหายย่อมไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตแต่อย่างใด เพราะเวลาย่อมเดินไปข้างหน้าไม่มีย้อนกลับ

ตี้ น้องรัก

หลังจากที่พี่ตอบจดหมายเธอว์ไปแล้ว มันกลายเปนบทความที่คนส่งต่อกันไปมากมายและก่อให้เกิดการวิพากษ์ถกเถียงกันมากมาย ลามจากวอลล์สู่วอลล์ บอร์ดสู่บอร์ด และกลายเปนฟอร์เวิร์ดเมล์ไปแล้ว ทีนี้ ฟอร์เวิร์ดเมล์เปนอะไรที่พี่หลอนมากเพราะมันจะคงอยู่ในระบบตราบจนกาลปาวสาน สเปศของพี่นั้นไซร้ต้องกลายเปนบอร์ดสาธารณะที่คนต้องเข้ามาถกเถียงดราม่าการเมืองกันอยู่ไม่จบสิ้นเปนแน่แท้ กระนั้นพี่เลยทำการปิดคอมเม้นไปแล้ว เพื่อความสงบสุขในพื้นที่ส่วนตัว แลจักได้เขียนถึงประเด็นอื่น ๆ ต่อไป

แต่ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นอื่นพี่คงต้องเขียนจดหมายปิดผนึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเธอว์กับพี่ต่างได้เรียนรู้ด้วยกันจากการณ์นี้ หลังจากการปะทะกันไปเมื่อควันปืนจางลง ตอนนี้ก็เริ่มเห็นชัดว่ามีข้อเท็จจริงต่าง ๆ มากมายว่าความรุนแรงเปนฝีมือของใคร ข้อนี้คงมีคนถกเถียงกันอยู่ และคงยากที่คนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่างเราจะไปตัดสินชี้ถูกผิดอะไรจึงต้องอาศัยหลักฐานจากที่เกิดเหตุให้ผู้รู้ทั้งฝ่ายรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลฝ่ายประชาชน ตัดสินกันเอง ทัศนะแบบนี้ก็เหมือนกับที่พี่พูดไปเรื่องความทุจริตของคุณทักษิณในความหมายที่พี่บอกว่าในเมื่อไม่รู้ชัดแจ้ง จึงขอข้ามประเด็นไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่เคารพต่อการตัดสินของศาล หรือบอกว่าคุณทักษิณบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่พี่น้อมรับว่าปัญญาน้อยนิดเกี่ยวกับกระบวนการภาษีแลยุติธรรมของพี่ไม่เพียงพอต่อการวิพากษ์จึงขอเว้นวิจารณ์ เธอว์เคยได้ยินเรื่อง โยน ออฟ อาร์ค ไหมที่เขาเคยตัดสินว่านางเปนแม่มด ปรากฏผ่านไปเปนร้อย ๆ ปีเขาพิสูจน์ได้ว่ะว่านางไม่ใช่แม่มด รัฐบาลฝรั่งเศสเลยต้องออกประกาศเปลี่ยนผลการตัดสินใหม่หรือขออภัยอะไรซักอย่างจำไม่ได้ แต่มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ว่ะ นางก็โดนเผาไปแล้ว ประชาชนในตอนนั้นก็จงเกลียดจงชังนางไปแล้ว และก็คงจะตายตกไปแล้วตามกัน เรื่องแบบนี้มีมาทุกยุคทุกสมัยและทุกรัฐ ในประวัติศาสตร์การแก่งแย่งอำนาจทางการเมือง

เธอว์ว่าไหม ไม่ว่าเราจะวิพากษ์สิ่งใดอันเปนการกระทำของรัฐ ณ เวลานี้ เราจักถูกตราประทับของคุณทักษิณแปะอยู่ซ้อนทับใบหน้าอันงดงามของเราอยู่ร่ำไป เราก็ไม่ได้อยากหน้าเหลี่ยม เราแค่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐและสนับสนุนประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามกติกาโดยไม่มีอำนาจอื่นใดมาแทรกแซง และอีกหลายประเด็นที่พูดไปแล้วในจดหมายฉบับก่อน กระแสร์ตอบกลับจากหลายส่วนทำให้พี่พบอาการหนึ่งในสังคมนั่นคืออาการ “ผีทักษิณหลอก” กล่าวคือไม่ว่าจะพูดประเด็นไหนก็จะโยงเข้าเรื่องทักษิณได้ตลอดเวลา บางทีก็พยายามอธิบายราวกับเราพึ่งได้ยินชื่อของเขามาเมื่อวานนี้ ซึ่งอันที่จริงก็รู้แต่เราไม่อยากพูดถึงแล้วมันเปนเรื่องเก่ามีคนเถียงกันได้ไม่รู้จักจบสิ้น ปล่อยให้เขาเถียงกันไป เรามองข้ามทักษิณไปแล้ว ถ้าเราเชื่อว่ากระบวนการตรวจสอบที่มีอยู่มันเข้มแข็งพอ เราจะกลัวการกลับมาของเขาทำไม บางคนบอกว่ากลัวชาวบ้านโดนทักษิณหลอก แล้วคิดยังไงว่าชาวบ้านเขาจะโดนหลอก หืมน์…

ผีทักษิณน่ากลัวมากสำหรับคนบางกลุ่ม ไม่ผิดที่เขาจะมองเห็นปรากฏการณ์อะไรต่อมิอะไรในประเทศนี้แล้วโยงเข้าหาทักษิณได้ทั้งหมด แล้วทางออกคืออะไรความแตกแยกในประเทศนี้จะจบลงด้วยให้ทักษิณตายไป อย่างที่มีกลุ่มคนตั้งกลุ่มอยู่ในเฟศบุคงั้นหรือ มันจะเปนไปได้เหรอ เคยดูหนังเรื่อง Apocalypto โดยเมล กิ๊บสัน กันไหม ที่เขาเปิด ๆ กันตามร้านขายทีวี หนังว่าด้วยการจับเอาคนอีกเผ่าหนึ่งมาบูชายัญ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลความกันดารในอาณาจักรมายาจะได้หมดไป แต่ตอนจบ สเปนก็บุกเข้ามาซะงั้น จริงอยู่ สเปนไ่ม่มาบุกเรา ไม่มีพม่า เขมร รามัญที่ไหนจะมาบุกเราทั้งนั้นในตอนนี้ แต่การไล่จับคนมาบูชายัญ เสียบประจานในกรุ๊ปต่าง ๆ ตามเฟศบุคมันเปน พฤติกรรมคล้าย ๆ กันสิ่งนี้แหละ เปลี่ยนจากเอาคนอีกเผ่ามาทาตัวสีฟ้า ๆ กลายเปนเอาคนอีกเผ่า มาใส่หน้ากากทักกี้ แล้วก็เสียบประจาณ อ่อ… จริงแล้วในฝั่งไม่เอาเจ้าก็มีฮาร์ดคอร์พอกัน พี่เห็นแล้วก็สยองพอกัน

พูดไปก็จะยาว ได้แต่อุทานในใจว่า “บ้าไปแล้ว นี่มันอะไรกัน” คนในชาติไม่ได้มีความคิดแค่สองอย่าง ความคิดเห็นมันมีหลากหลายมาก มีท่านหนึ่งแสดงความเห็นไว้ในสเปศพี่ไว้น่าสนใจว่า ท่านเปนคนเสื้อแดงที่ไม่เอาทักษิณ และเปนคนเสื้อเหลืองที่ไม่เอาอำมาตย์ พี่เชื่อว่ายังมีผู้คนมากมายที่เปนเหมือนกับสุภาพบุรุษท่านนั้นนิยามตนเอาไว้ พี่ก็เห็นตามนั้น แต่พี่เติมว่าพี่ก็ไม่ได้อยากเห็นใครตาย ไม่ว่าฝั่งไหนหรือสีไหน เพราะ อย่างไรก็ต้องตายกันอยู่แล้ว แต่ตายในการเมือง มันก็ไม่ได้ทำให้การเมืองดีขึ้น จริง ๆ นะเธอว์ แล้วการแช่งให้คนตาย มันบาปกว่าฆ่าเวลานะเธอว์นะ

ทีนี้สิ่งที่พี่อยากจะบอกเธอว์เพื่อปิดประเด็นนั่นก็คือเราจะทำยังไงกันต่อไป ในฐานะเปนวัยรุ่นเปนเยาวชน ตอนนี้อะไรต่างๆ นานามันวุ่นวายสับสนปนเปนกันไปหมด ขอให้เรามีสติแยกแยะประเด็นออกจากกัน ปัญหาบ้านเมืองตอนนี้มันซับซ้อนพัวพันกว่าขนเพชรที่ไม่ได้แต่งเล็ม ยิ่งปล่อยให้ผีทักษิณมาหลอกหลอน ยิ่งมองไม่เห็นอะไรเลยก็จะมันแต่มีทักษิณ ๆ ๆ ๆ ๆ บดบังตาไม่เห็นปัญหาอื่นที่กำลังกำเริบเสิบสาน ถ้ายิ่งไปกันใหญ่โตหมอผี เทวดาที่ไหนก็ไม่สามารถเสกเมืองไทยให้มีความสุขสงบได้หรอก

แต่ในตอนนี้เรามองเห็นปัญหาเรื่องทัศนคติต่อคนคิดต่าง เราแค่สะกิดเพื่อนให้รู้ว่าคนที่คิดต่างจากเราเขาไม่ได้โง่ ไม่ได้เปนวัวเปนควาย คนเสื้อไหนสีไหนมีดีมีเลวปะปนกันไปทั้งหมด แค่อย่าตัดสินกันที่ความเห็นทางการเมืองแค่นั้นเอง เรานั่งอยู่บ้านเล่นเน็ตก็เล่นไป แต่หาความรู้ให้กระจ่างว่าทำไมถึงเปนเช่นนั้นทำไมถึงเปนเช่นนี้ ประวัติศาสตร์มีให้ศึกษาทั้งของประเทศเราและประเทศอื่น ที่ฆ่ากันตายล้างเผ่าพันธุ์ด้วยความเกลียดชังทางการเมืองก็มีให้เห็น มันอาจจะไกลตัวและไม่น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ แต่ใครจะรู้…

ณ เวลานี้ปัญหาทางการเมืองเปนสิ่งที่ใหญ่โตเกินกว่าที่เราจะเข้าไปแก้ไขอะไรได้ แต่พึงรฤกไว้ว่า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ผู้ใหญ่ที่เปนตัวแปรหลายท่าน ณ เวลานี้ก็เลยแซยิดกันไปมาก ในช่วงเวลาที่เราจะเติบโตไปด้วยกันท่านเหล่านั้นก็จะล้มหายตายจากไปตามสัจธรรมของโลกอยู่แล้ว แต่เราน่ะสิจะเปนคนที่อยู่ในประเทศนี้ต่อไปอีกนาน เราเห็นกันแล้วใช่ไหมว่าเราเคยมีบาดแผลกันด้วยเรื่องอะไร เราบาดหมางกันเพราะอะไร วันข้างหน้าสิ่งเหล่านี้คือบทเรียนให้เราไม่ไปซ้ำรอยนั้นอีก ถ้าเรารู้จักเจ็บแล้วจำ

ใครที่เคยเห็นด้วยกันในเรื่องความเท่าเทียม เสรีภาพ และภารดรภาพ ขอให้ยึดมั่นมันเอาไว้ อย่าให้อะไรมาเปลี่ยนความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ของเรา วันหนึ่งที่เราเติบโตไปทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสังคม อย่าลืมว่ายังมีคนอื่นที่ทำงานในส่วนต่างๆ ของสังคมเช่นเดียวกับเรา ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะเปนเกษตกร คนทำปศุสัตว์ แม่บ้าน ยาม คนขับรถคนที่กำลังกระเสือกกระสนเพื่อที่จะลืมตาอ้าปาก เขาก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เขามีความคิดสติปัญญา ที่เราควรรับฟังในฐานะเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน

ขอปิดผนึกประเด็นนี้ไปพร้อมกับเทศกาลสงกรานต์ ที่ยังดีใจที่เห็นพี่น้องชาวไทยยิ้มแย้มใส่กันได้อีกครั้ง ก่อนที่แนวรบทางการเมืองจะเริ่มตีกันต่อไป เราทั้งหลายก็จะเริ่มกลับไปทำงานทำการตามปกติ ที่ปิดเทอมก็ขอให้เที่ยวให้สนุกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตเอาไว้เปนต้นทุนที่หาไม่ได้ในห้องเรียนพิเศษ ตัวพี่เองมีหน้าที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้คนก็จะกลับไปทำงานอีกครั้ง แม้จะเสียต้นทุนทางสังคมไปบ้างกับการแสดงความเห็นทางการเมือง แต่พี่ก็ไม่เสียดายเพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะสื่อความเห็นตรงกันแต่ยังเรียบเรียงคำพูดไม่ออก และมันอาจจะเปลี่ยนอะไรได้ไม่มากนักแต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยมันได้เปนกระแสร์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วจากนี้ก็ช่วยกันรดน้ำพรวนดินให้มันผลิบานต่อไป

อีกนานที่จะเขียนถึงการเมืองอีก มีจดหมายอื่นๆ เกี่ยวกับปัญหาชีวิต การศึกษา สุขภาพ ความรู้ทั่วไป ซึ่งจะทยอยตอบในอีกไม่ช้า การเมืองเปนส่วนหนึ่งของชีวิต เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ กระนั้นอย่าให้มันมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างจนเกินไปนัก และถ้ามีปัญหาใด สามารถปฤกษากันได้เสมอ ขอเว้นเรื่องการเมืองแล้วนะ ไม่ไหวจริง > < แต่เอ๊ะ…นี่พี่ตอบจดหมายตี้อยู่ใช่ไหม

พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

แมวโพง แสนดี สี…

 

โยนิโสมนสิการ

 

จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป

หากแต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแลความเศร้าที่ต้องมีผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์ จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมาในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิตออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป

http://nanoguy.exteen.com/20100412/entry

จดหมายถึงน้อง

ตี้น้องรัก

จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง

การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ (ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่าการออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอ คนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน

พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยอง ก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารในคืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชนในสงครามยาบ้าอันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเอง อนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้องเสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกับบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมไ่ด้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง

เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ในเมืองก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจ อาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควายไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชคสินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิ บุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกริดรอนมาหลายทศวรรษแล้ว

มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ “ปาริณ” ถามได้น่าสนใจว่า “ใครคือชนชั้นกลาง” เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความมั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิง ชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า “ข่าววงใน” สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแสร์ โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงใจการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้ากัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง…

ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยุ่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า “ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้” ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา

นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าเลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจนกว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก “กาลามสูตร” เข้าใจว่าเปน “กามสูตร” หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด “โยนิโสมนสิการ” ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด

แล้วที่เม้าชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาดซึ่งวิจารณญานโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกันนะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไลซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า

เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตคนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเรา จะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้

ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่ากาชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้งใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปนเงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้

ชนชั้นสูงรู้ดีว่าตัวเองมีอะไรอยู่ในมือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำต้อยแค่ไหนในระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภารดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว

ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของคนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ

มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกันคือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้า เราเข้าใจว่าเราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยกจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ

เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย “ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ…” แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า

พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจจะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ๊ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชนชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน “ไพร่” มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน

วิงวอนให้ทุกคนได้มี “โยนิโสมนสิการ” ในเร็ววัน

แมวโพง สีสวยดี